รู้ๆ กันอยู่ว่า แคลเซียม
มีประโยชน์แก่ร่างกาย เพราะช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่พุกร่อนง่าย
ซึ่งเมื่อไม่นานนี้ก็มีงานวิจัยที่เผยว่าแคลเซียมสามารถช่วยต่อต้านโรคความดันโลหิตสูง
อาการหัวใจกำเริบ อาการปวดก่อนมีประจำเดือน และมะเร็งลำไส้ ดังนั้น
การเสริมสารอาหารตัวนี้ให้แก่ร่างกายจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
แต่อีแมกกาซีนก็อยากให้คุณคำนึงถึงด้วยว่า
ในแต่ละวัยก็ควรได้รับปริมาณของแคลเซียมที่แตกต่างกันไป
วัยเด็ก
ลูกหลานของคุณมีความต้องการแคลเซียมมากกว่าวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ
โดยเด็กอายุ 1-10 ปี ควรได้รับแคลเซียมราว 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน ขณะที่ส่วนอื่นๆ
จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นโครงสร้างของร่างกาย
โดยการสะสมแคลเซียมในเด็กที่หัดพูดจะค่อนข้างช้าแต่ก็สามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งการศึกษาพบว่า
ถ้าปริมาณแคลเซียมในร่างกายเด็กมีต่ำจะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ
เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนหรือโรคกระดูกค่อมงอได้
สำหรับสิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ
การพัฒนารูปแบบการบริโภคให้สอดคล้องกับระดับแคลเซียมที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอ
เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูกให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ
อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้
วัยหนุ่มสาว
จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24
ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับแคลเซียม
ในปริมาณที่ต่ำกว่าความต้องการของร่างกายอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
ซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรงจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก
เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า
จึงควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สิ่งสำคัญคือ
การรักษาระดับการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับระดับแคลเซียมที่ต้องการ
เพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต
โดยถ้าเราได้รับแคลเซียมตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง
อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่รับแคลเซียมไม่เพียงพอ
หญิงตั้งครรภ์
สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว แคลเซียม
นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก ควรได้รับ 1,500
มิลลิกรัมต่อวัน จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ
เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูกเพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์
ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลน แคลเซียม
นอกจากจะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว
ยังมีส่วนช่วยรักษาเสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค
กระดูกพรุน ในภายหลังได้
วัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ
คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม
จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว
ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป
โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียมอย่างเพียงพอ
ซึ่งควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ
5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens
และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น
จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุนสูง ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม
ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้
การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง
ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลงหรืออาจไม่เกิดขึ้น
ที่มา : สยามดารา