10 วิธี การมี เส้นผม สี สดใส เป็นประกาย เงางาม



คุณรู้ไหมการมี เส้นผม ที่เป็นประกายและเงางามนั้นไม่ใช่เรื่องยาก หากเราหมั่นดูแล เส้นผม ด้วยวิธีเหล่านี้ ไม่ว่าคุณจะมีผมเสียจากการทำสี หรือจากสาเหตุต่างๆ ลองทำตามทั้ง 10 วิธีนี้แล้วคุณจะมีผมที่กลับมาสวยเป็นประกายดั่งเดิม

1 ปกป้องด้วยน้ำดื่ม
ก่อนการว่ายน้ำทุกครั้ง คุณควรทำเส้นผมของคุณให้เปียกด้วยด้วยน้ำสะอาดเสียก่อน เพราะในสระน้ำมีคลอรีนอยู่มากมาย ซึ่งคลอรีนเป็นตัวการที่ทำให้ผมเสีย การทำให้ผมเปียกก่อนเล่นน้ำจะเป็นการช่วยเจือจางสารเคมีที่อยู่ในน้ำไม่ให้มาจับตัวบนเส้นผมได้ง่ายๆ เมื่อเล่นน้ำเสร็จคุณต้องรีบล้างเส้นผมให้สะอาดทันที แล้วจึงสระผมได้ตามปกติ


2 ระวังแดด
อย่าปล่อยให้เส้นผมโดนแดดโดยตรง เพราะแสงแดดจะทำร้ายสีผมของคุณ เพราะฉะนั้นก่อนออกจากบ้าน คุณควรสวมหมวก หรือผ้าพันศีรษะ เพื่อป้องกันเส้นผมไม่ให้ถูกทำร้าย การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เช่น ลีฟออน ก็จะช่วยป้องกันไม่หใส้นผมแห้งหือมีสีที่ซีดจาง


3 ใช้แชมพูพิเศษ
การูสระผมแรงๆ อาจทำให้สีผมหลุดลอก และทำลายความชุ่มชื้นบนเส้นผมได้ ควรสระผมเบาๆด้วยแชมพูที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับผมทำสี ลองใช้ Sunsilk Colour Shine System ซึ่งจะช่วยคืนความชุ่มชื้นและเป็นเงางามให้กับเส้นผมทำสีได้


4 บำรุงผมเป็นพิเศษ
ครีมบำรุงผมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผมทำสี เพราะนอกจากจะช่วยบำรุงเส้นผมที่ถูกทำลายจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมแล้ว ยังช่วยคืนความชุ่มชื้นให้เส้นผมนุ่มลื่นขึ้น ช่วยขับให้สีผมเปล่งประกายเงางาม และดูมีชีวิตชีวาขึ้น ลองใช้ครีมบำรุงผมของ Sunsilk Colour Shine System

5 อย่าใช้แปรง
ในทำนองเดียวกันก็อย่าใช้แปรงๆผมในขณะที่เส้นผมเปียก เพราะอาจทำให้เส้นผมหักขาดและสีผมหลุดลอกได้ ควรใช้หวีซี่ที่มีฟันซี่ห่างๆ ค่อยๆสางเส้นผมที่พันกันออกอย่างนุ่มนวล(อย่าใช้หวีกระชากเส้นผมที่พันกันเด็ดขาด)

6 อย่าเผาเส้นผม
อย่าใช้ไดร์เป่าผม(และอุปกรณ์ที่ใช้ความร้อนในการแต่งผมอื่นๆ)นานเกินไป เพราะอย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ความร้อนคือตัวการร้ายที่ทำให้เส้นผมแห้ง และอาจทำให้สีผมซีดจางลง ทางที่ดีก็ใช้ไดร์เป่าผมแบบรวกๆ จนเส้นผมเกือบแห้งสนิท(อย่าให้ถึงกับแห้งสนิท) การทิ้งความชื้นเอาไว้นิดหน่อย จะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นผมเกิดไฟฟ้าสถิตได้

7 เลือกสีให้เหมาะ
ถ้าคุณไม่อยากแต่งเติมสีผมบ่อยๆ เพราะโคนผมโชว์สีผมจริงออกมา ก็เลือกสีผมอย่าให้อ่อนกว่าสีผมจริงเกินสามเฉดสี หรือถ้าจะให้ดีก็เลือกสีผมที่มีสีเข้ากว่าสีผมตามธรรมชาติของคุณแทน และถ้าคุณเป็นสาวที่ชื่นชอบเส้นผมสีแดงเป็นพิเศษ ก็จำไว้ด้วยว่าสีแดงเป็นสีที่จืดจางได้เร็วกว่าสีผมอื่นๆ ฉะนั้นถ้าคุณเลือกสีผมสีนี้ ก็ต้องทำใจไว้ด้วยว่า คุณอาจต้องแต่งเติมสผมบ่อยๆ

8 ไม่โพกศีรษะ
อย่าใช้ผ้าขนหนูโพกศีรษะเวลาที่เส้นผมเปียก เพราะจะเป็นการเพิ่มความเสียดสีให้เส้นผมพันกันมากขึ้น และอาจสร้างความเสียหายให้กับเส้นผมทำสีที่เปราะบางในขณะเปียกได้ แทนที่จะทำอย่างนั้น ก็ใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆให้แห้งจะดีกว่า



9 เติมน้ำมัน
ถ้าเส้นผมของคุณแห้งเพราะขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงบนหนังศรีษะ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากแสงแดด ความเครียด และกระบวนการทางเคมี(อย่างเช่นการเปลี่ยนสีผมหรือการดัดผม) ก็ลองนวดน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันอัลมอนด์ลงบนหนังศรีษะ ทิ้งไว้ 10 นาทีก่อนสระผม วิธีนี้จะช่วยให้เส้นผมยังดเป็นเงางามหลังสระผม ซึงก็หมายความว่า สีผมของคุณก็ยังสวยสดใสอยู่เหมือนกัน นอกจากนี ้การแปรงผมเป็นประจำก็จะช่วยกระตุ้นหนังศรีษะให้ผลิตน้ำมันออกมาอย่างสม่ำเสมอด้วย


10 เบามือหน่อย
การใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมไม่ว่าจะเป็นมูสครีม ขี้ผึ้ง เจล หรือสเปรย์ในปริมาณที่มากเกินไป ไม่เพียงแต่ทำให้เส้นผมขาดความพริ้วไหวเท่านั้น แต่ยังทำให้สีผมของคุณดูไม่มีชีวิตชีวาด้วย ฉะนั้นใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมเท่าที่จำเป็นจะดีกว่า


Cosmopolitan Magazine Febuary, 2007

8 เครื่องสำอาง เพื่อเติมความสดใส ตลอดวัน





      ถ้าคุณอยากดูสวยสดใสไปตลอดวันทำงาน หรืออยากจะแปลงโฉมจากสาวทำงานไปเป็นสาวสวยในงานปาร์ตี้ยามค่ำคืน วันที่ไม่มีเวลากลับไปเติมสวยที่บ้าน นี่คืออาวุธลับที่คุณควรมีติดลิ้นชักโต๊ะทำงานเอาไว้ เครื่องสำอาง ที่คุณสาวๆจะต้องมีเอาไว้ครอบครอง


   คอนซีลเลอร์ : เพื่อเอาไว้กลบรอยหมองคล้ำบริเวณใต้ตา รวมทั้งสิวและจุดด่างดำอื่นๆ





  ลิปทิ้นท์ : เพื่อใช้เติมสีสันบนโหนกแก้มและริมฝีปากให้ดูเป็นสีชมพูระเรื่อแบบธรรมชาติๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแสงไฟในยามค่ำคืนทำให้คุณดูซีดเซียวลง





   แปรงสีฟัน : รวมทั้งยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากขนาดพกพาด้วย (ไม่บอกก็คงรู้นะว่าใช้ทำอะไร)





   สเปรย์น้ำแร่ : ไว้เติมความชุ่มชื้นและความกระปรี้กระเปร่าให้ผิว โดยไม่รบกวนเครื่องสำอางบนใบหน้า







   ยาหยอดตา : โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีอาการตาแดงจากการจ้องคอมพิวเตอร์บ่อยๆ






   ลิปบาล์ม : นี่เป็นสิ่งที่คุณควรพกติดตัวไว้เป็นประจำ เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก





   ครีมทามือ : ไว้ทาเติมความชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน (และควรทำให้เป็นนิสัยด้วย)





   มอยสเจอไรเซอร์ : แบบซองหรือขนาดพกพา ไว้เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวในบริเวณที่แห้งกร้านจากเครื่องปรับอากาศ




ที่มาจาก www.lisaguru.com

หมักผมเอง แบบวิธีไหนดี




    สำหรับสาวๆ ที่ต้องการหมักผมเอง แต่ไม่ทราบว่าจะใช้วิธีไหน หรือเริ่มต้นอย่างไร ผมตัวเองเป็นแบบไหน จะใช้ครีมอะไร ทำตอนไหน เกิดคำถามมากมาย ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้ผลออกมาดี วันนี้มีเทคนิคการหมักผมจากผู้มีประสบการณ์หลายๆ ท่านมา ให้เป็นแนวทางปฏิบัติกัน ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า วิธีไหนจะเหมาะสมกับตัวของเรา......

เทคนิคจากคุณ : monkodi 
เราใช้พวกทรีตเม้นแบบกระปุกแทนครีมนวดค่ะ ใช้หลังสระผมทุกครั้ง แบบว่าควักมาแล้วมาโปะตรงปลายผม ลูบๆแล้วใช้ที่หนีบผมรวบไว้เปนจุก ครีมที่เหลือในมือค่อยลูบๆส่วนอื่นของผม เพราะจริงๆเราเป็นคนผมมัน แต่ปลายผมแห้งมากเพราะยืดมาเหมือนกัน ระหว่ารอก็อาบน้ำ ล้างหน้าช้าๆหน่อย แล้วค่อยล้างผมออกเป็นอย่างสุดท้าย ทำยังงี้ทุกคืน ตื่นเช้ามา หลังอาบน้ำเสร็จเราจะใช้น้ำมันใส่ผมชนิดที่บำรุงผมได้ด้วย มีทั้งคิวเพรสสีส้ม โอเรียลทอลปริ๊นเซสขวดสีเหลือง ใส่เฉพาะปลายผมค่ะ   พอผมดีขึ้น เราหันไปสระผมอย่างเดียวไม่นวด ไม่ใส่อะไรบำรุง ประมาณ 2 เดือนผมก็กลับมาแห้งอีก เซ็ง ตอนนี้เลยกลับมาทำเหมือนอีก :( ขี้เกียจมากกกกก

เทคนิคจากคุณ : ปรีชญา 
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นค่ะ หมักไว้ก่อนสระ 30 นาที หลังสระผมแล้วเป่าแห้ง ผมนิ่ม เงา มีน้ำหนักขึ้นมากๆค่ะ

เทคนิคจากคุณ : thankgodifoundu
น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอก
หมักไว้ก่อนสระผมซัก 20นาที-1ชั่วโมง
ขยันทำซักอาทิตย์ละครั้งผมก็ดีขึ้นแบบไม่น่าเชื่อแล้ว
สำหรับเรา ดีกว่าพวกทรีตเม้นแพงๆ
หลังๆ ทรีตเม้นต่างๆก็เอาไว้หมักเหมือนครีมนวดผม
ส่วนหมักผมจริงๆก็ใช้น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอกเอา

เทคนิคจากคุณ : ก้านกล้วยสีสด 
นมเปรี้ยว(กลิ่นส้ม)+ไข่แดงหนึ่งฟอง หมักทิ้งไว้สัก สิบห้านาที แล้วค่อยสระออกค่ะ
ผมนุ่มและรื่นดีค่ะ


เทคนิคจากคุณ : หมูน้อยๆ patcha (หมูน้อยๆ patcha)
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นหมักก่อนสระผมสัก 30 นาที
แล้วหมักผมด้วยทรีตเม้นต์ของว่านไทยค่ะ ผมนุ่มดี
ปล.ผมยืดเหมือนกันค่ะ

ขอบคุณข้อมูล Pantip ภาพจาก Internet

เคล็ดลับการเลือกของขวัญ ด้วยเทคนิค ‘BEST’





  เดล กรับบ์ จากมหาวิทยาลัยโบล์ดวิน วอลเลซ สหรัฐอเมริกา แนะการซื้อของขวัญให้ลูกหลานในช่วงเทศกาลแห่งความสุขให้ถูกใจด้วยเทคนิค "เบสต์" (BEST) ซึ่งมีความหมาย ดังนี้

B บี คือ บิวต์ ฟิสิคัล แอนด์ อินเทอร์แอ็กชวล เสริมสร้างร่างกายและปัญญา ได้แก่ อุปกรณ์กีฬาและเกมแก้ปัญหา

E อี คือ เอ็นเตอร์เทน ให้ความสนุกเพลิดเพลิน อย่างวิดีโอเกมโต้ตอบ หรือเครื่องเล่นเพลง

S เอส หมายถึงสติมูเลต อิเมจิเนชั่น กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เช่นอุปกรณ์ศิลปะ ตุ๊กตา เครื่องดนตรี

T ที คือทีช โซเชี่ยลไลเซชั่น แอนด์ ทีมเวิร์ก สอนการเข้าสังคมและทำงานเป็นทีม ได้แก่ เกมกระดาน

ผู้เชี่ยวชาญยังบอกว่า ของขวัญดีมีคุณภาพไม่ใช่สิ่งที่ต้องทันสมัย เพราะยิ่งไฮเทคเด็กยิ่งไม่ได้ใช้สมองในการเล่น นอกจากจะน่าเบื่อแล้ว ยังไม่เสริมสร้างการเรียนรู้ ผู้ปกครองจึงควรนึกถึงประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ มากกว่าทำตามกระแสนิยมในยุคเห่อคอมพิวเตอร์


ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

อันตราย! ติดเครื่องประดับเหล็กที่ลิ้น



ผู้อำนวยการวิทยาลัยโรมัน แคธอลิกส์ เวนต์ แมทธิวส์ ที่อังกฤษออกหนังสือเตือนไปยังพ่อแม่ผู้ปกครองของนักเรียนวัยรุ่นทั้งหลายว่า การเล่นพิเรนทร์ติดเครื่องประดับเหล็กไว้ที่ลิ้นเป็นอันตรายอย่างยิ่ง  และเป็นสาเหตุให้ต้องส่งเด็กไปโรงพยาบาลกันหลายรายแล้ว เครื่องตกแต่งพวกนี้ใช้ติดประกบลิ้น ทำให้ดูเสมือนว่าแทงปักติดลิ้น แต่มันอาจจะหลุดลื่นตกลงไปในคอ เศษชิ้นบางส่วนอาจหลุดไปติดในลำไส้ ในหนังสือจึงเตือนว่า หากลูกหลานของท่าน ทำหลุดตกลงไปในคอ ควรจะรีบไปพบแพทย์โดยด่วน

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เทคนิคสร้างสมาธิ-ช่วยจำ





ภาวะจิตใจไม่สงบ ความคิดฟุ้งซ่าน เมื่อเกิดในขณะทำงาน หรือ ในช่วงอ่านหนังสือทบทวนบทเรียน ถือเป็นสถานการณ์ที่ชวนหงุดหงิด ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อการพิชิตเป้าหมายต้องล่าช้าออกไปเท่านั้น แต่ยังอาจบั่นทอนประสิทธิภาพของเนื้องาน หรือ ไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างที่ควรจะเป็น   อย่างไรก็ตาม การขาดสมาธิเกิดได้หลายปัจจัย เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ หิว หรือ อิ่มจนเกินไป ตลอดจนสภาพแวดล้อมในขณะนั้นที่ไม่เอื้ออำนวย เป็นต้น

ขณะที่ การจัดการความเครียดอย่างเหมาะสมก็สำคัญจะสังเกตว่าขณะเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกกดดัน หรือ เครียดมาก มักส่งผลให้การโฟกัสที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งทำได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ หรือ ไม่สามารถจดจ่อมีสมาธิ

สำหรับเทคนิคบรรเทาจิตใจว้าวุ่น เตรียมที่จะจดจำ เริ่มด้วย การสร้างสมาธิ โดยอาจจจะนั่งบนเก้าอี้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องหลับตา เพียงให้มีสติรู้ลมหายใจเข้า-ออกกำหนดจุดเพ่งมอง ปฏิบัติประมาณ 5-10 นาที ช่วยลดความยุ่งเหยิงทางใจ คลายกังวล พร้อมใช้ความคิด

ส่วนทริคช่วยจำนั้น มีคำแนะนำจากหลายเสียงน่าสนใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้การทำความเข้าใจมากกว่าท่องทำให้เห็นที่มาที่ไป และรูปแบบความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันในแต่ละส่วน แล้วสรุปเป็นมายด์แม็ป หรือ แผนที่ความคิด เพื่อสะดวกในการทบทวนได้ตรงประเด็นภายหลัง


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

จริงหรือ? "มีดทำครัว" ตัวแพร่ไวรัส




มีดทำครัวที่ใช้กันอยู่เป็นประจำ กลายเป็นตัวแพร่เชื้อไวรัสที่ไม่มีใครคาดคิด โดยผลการวิจัยของศูนย์กลางความปลอดภัยด้านอาหาร มหาวิทยาลัยจอร์เจีย ระบุว่า ผู้คนที่จัดเตรียมอาหารก่อนการปรุงควรจะล้างมือให้สะอาดก่อนการเตรียมอาหารเพื่อป้องกันการติดเชื้อโรคที่อาจจะมากับมีดทำครัวโดยที่เราไม่คาดคิดมาก่อน

โดยนักวิจัยได้ทำการมีดด้ามใหม่ในการปอกผลไม้และหั่นผัก 6 ประเภท คือ แตงกวา สตรอเบอรี่ มะเขือเทศ แครอต แคนตาลูป และเมลอน ที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี และเชื้อโนโรไวรัสที่ทำให้เกิดการอาเจียน พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งของมีดใหม่ที่นำมาใช้ติดเชื้อเหล่านี้ไป และสามารถแพร่เชื้อไวรัสนี้ต่อไปได้ โดยชิดของมีดไม่ได้ส่งผลใดๆ ต่อการแพร่เชื้อไวรัส

ดังนั้น นอกเหนือจากการล้างมือให้สะอาดทุกครั้งทั้งก่อนและหลังทำอาหารแล้ว ก็ควรจะล้างมีดให้สะอาดก่อนนำไปใช้งานอีกครั้ง ไม่ควรจะปล่อยวางไว้หลังการใช้งาน เพราะมันไม่ได้แค่สกปรกอย่างที่คิด แต่ยังมีเชื้อไวรัสติดอยู่ด้วย

ทั้งนี้ เคยมีผลการวิจัยก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเรื่องการปนเปื้อนของมีดทำครัว ซึ่งพุ่งเป้าไปที่เชื้อแบคทีเรีย ไม่ใช่เชื้อไวรัส ขณะที่การวิจัยเมื่อปี 2554 พบว่าเชื้อโนโรไวรัสเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคที่มาจากอาหารในสหรัฐอเมริกา โดยการรับเอาเชื้อโนโรไวรัสเข้าไปจะทำให้อาเจียนหรือท้องร่วงได้


ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

เคล็ดลับสุขภาพดี เมื่อนั่งเที่ยวบินยาวๆ




      ฤดูกาลนี้เป็นอีกช่วงเวลาที่เหมาะกับการท่องเที่ยว หลายคนนิยมเดินทางไปต่างประเทศ แต่การนั่งในเที่ยวบินยาวๆ ใครๆ ก็รู้ดีว่าเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่าย เมื่อเรามีเพื่อนร่วมเดินทางอีกราว 400 ชีวิต เพราะการนั่งอยู่ในอากาศที่ไม่ถ่ายเทนาน ๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางบ่อยๆ ก็ยิ่งเสี่ยง แต่ใครจะอยากไม่สบายระหว่างท่องเที่ยว หรือไปทำงานต่างประเทศ วันนี้เรามีเคล็ดลับดูแลสุขภาพระหว่างเดินทางมาฝากกันค่ะ

ไวรัส และอาการเจ็บคอ
ระหว่างการเดินทางเราจะมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไวรัสใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เพิ่มโอกาสที่จะมีอาการป่วยเพราะร่างกายยังไม่มีภูมิคุ้มกันได้ ทางที่ดีที่สุดที่จะเลี่ยงการติดเชื้อหวัดคือการดูแลความสะอาด โดยการล้างมือบ่อย ๆ เพราะเชื้อหวัดโดยทั่วไปจะยังมีชีวิตอยู่ได้หลายชั่วโมงบนลูกบิดประตูหรือพื้นที่อื่น ๆ ที่ผู้โดยสารใช้ร่วมกัน ที่สำคัญอย่าใช้ภาชนะ หรือช้อนส้อมร่วมกับผู้อื่น วิธีนี้ยังช่วยป้องกันคุณจากเชื้อโรคที่ทำให้ท้องเสียได้อีกด้วย


อาการเหนื่อยจากการเดินทาง
ขิงสมุนไพรชนิดนี้ ได้รับการยืนยันว่า มีฤทธิ์ในการช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้าจากการเดินทางนานๆ ช่วยในระบบการย่อยอาหารที่อาจเกิดปัญหาเพราะการนั่งนานได้ จึงแนะนำให้รับประทาน หรือดื่มน้ำขิงระหว่างเที่ยวบินหากทำได้ สำหรับท่านที่เดินทางบ่อยอาจพิจารณาขิงอัดเม็ดก็สะดวกไม่น้อย

ดูแลดวงตา
อาการตาแดงระหว่างการเดินทาง โดยเฉพาะเที่ยวบินที่บินข้ามคืนนั้นทำให้คุณมีอาการตาแห้ง หรือเจ็บตาได้ การพกยาหยอดตาที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ดวงตาช่วยได้ และหากคุณเป็นคนสวมคอนแทคเลนส์ก็ควรเลี่ยงมาใส่แว่นในกรณีที่เดินทางนานๆ หรือหยอดตาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นบ่อยๆ

ความเครียดและตื่นเต้น
หากมีความเคร่งเครียดระหว่างการเดินทาง เที่ยวบินยาวๆ จะยิ่งทำให้คุณเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ เพราะความเคร่งเครียดไปเพิ่มความเหนื่อยอ่อนให้ร่างกาย นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายเกิดอาการบวม ขาดน้ำ ก่อให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ เพื่อป้องกันริ้วรอยบนใบหน้าจากผิวแห้งควรใช้สเปรย์พ่นให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหน้าเป็นระยะ และหากสเปรย์นั้นผสมเอสเซนเชียลออยล์ก็จะช่วยผ่อนคลายอารมณ์ได้อีกด้วย
  

ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ

ทำอย่างไรไม่ให้พลาดมื้อเช้า



           หลายๆ คนไม่ได้ให้ความใส่ใจกับมื้อเช้าเท่าไหร่นักเพราะยามเช้าเป็นช่วงเวลาที่เร่งรีบออกไปทำงาน จึงมัววุ่นอยู่แต่การรีบแต่งตัวออกจากบ้านให้เร็วที่สุดก่อนที่รถจะติด จนลืมคำนึกถึงมื้อเช้าที่อุดมไปด้วยสารอาหาร แถมยังให้ความสำคัญกับมื้อเย็นซะมากกว่า ด้วยบรรดาของโปรดแสนอร่อยแบบจัดเต็มที่เป็นการเพิ่มไขมันสะสมใต้ชั้นผิวหนังมากขึ้นทุกๆ วัน

             นอกจากนั้นแล้วคุณรู้หรือไม่ว่าการรับประทานมื้อเช้าที่เพียงพอจะช่วยให้ความอยากในมื้อต่อไปลดลง เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาลองหาแรงจูงใจในการกินมื้อเช้าด้วยวิธีง่ายๆ กันค่ะ

ตื่นก่อนเวลาปกติสัก 10-15 นาที
เพื่อที่คุณจะได้มีเวลาในการทำกิจวัตรส่วนตัวมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องทำอะไรแบบเร่งรีบและมีเวลาเหลือสำหรับมื้อเช้าก่อนออกจากบ้าน

เข้านอนเป็นเวลา
ควรจะปรับพฤติกรรมให้เข้านอนตรงเวลาซึ่งไม่ควรเกินเที่ยงคืน เพื่อให้ร่างกายจะได้พักผ่อนอย่างเพียงพอและเพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอขณะที่เรานอนหลับได้อย่างเต็มที่ การพักผ่อนอย่างเพียงพอวันละ 8 ชม.จะช่วยให้เราตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น

อะไรก็ได้ที่มีประโยชน์
บางคนบ่นว่าไม่มีเวลามาปรุงอาหารสำหรับมื้อเช้า ก็เลยใช้เป็นข้ออ้างในการที่จะไม่กินมื้อเช้าเสียดื้อๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด อาหารเช้าไม่ใช่อะไรที่ยุ่งยาก เพียงแค่สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายง่ายๆ อย่าง ขนมปัง แฮม ไส้กรอก หรืออะไรง่ายๆ ที่สามารถเตรียมได้ในเวลาไม่กี่นาที ยิ่งสมัยนี้มีแฮม ไส้กรอกแบบที่ปรุงสุกได้ง่ายๆ เพียงนำเข้าไมโครเวฟไม่กี่นาทีก็พร้อมเสิร์ฟ

เริ่มมือเช้าแบบเบาๆ สำหรับใครที่ห่างหายจากการกินมื้อเช้ามาเป็นเวลาแสนนานจนยากที่จะปรับตัวขอให้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วยมื้อเช้าแบบเบาๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่างขนมปังโฮลวีตสักแผ่นกับน้ำส้มคั้น ผลไม้อย่างกล้วยน้ำว้าสักลูกในทุกๆ เช้าก็จะช่วยให้เราค่อยๆ ชินกับมื้อเช้าได้

เวลามื้อเช้า
ช่วงเวลาสำหรับการรับประทานมื้อเช้าที่ดีควรเริ่มที่ 7 โมงเช้า และไม่ควรเกิน 9 โมง เพราะเป็นช่วงเวลาที่กระเพาะกำลังทำงาน ถ้าไม่มีอหารสำหรับย่อย การบีบรัดตัวของกระเพาะก็จะดันเอาของเก่าที่อยู่ในลำไส้กลับขึ้นมาย่อยซ้ำ สารพิษที่อยู่ในอุจจาระก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ซึ่งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษ ซึ่งยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณไม่สดใสเปร่งปลั่งอีกด้วย

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

อยากหนีมะเร็ง อย่าเพิ่งรีบด่วนมีลูก




            สตรีอย่าเพิ่งด่วนมีลูก รอไว้จนกว่าจะมีประจำเดือนมานานเกิน 15 ปี จะสามารถหลีกพ้นมะเร็งเต้านมรูปแบบรุนแรงได้ถึงร้อยละ 60

หมอสมาชิกศูนย์วิจัยมะเร็งเฟรด ฮัทชินสัน ของสหรัฐฯ ศึกษาจากผู้หญิงในถิ่นซีแอตเติล วัยระหว่าง 20-44 ปี ผู้มีประวัติการเป็นมะเร็งเต้านมไม่ต่ำกว่า 1,960 คน เทียบกับสตรีปกติ 941 คน    มะเร็งเต้านมในรูปแบบรุนแรง แม้ค่อนข้างจะหายาก เป็นโรคแบบชนิดย่อย การเติบโตและลุกลามของมันอาศัยฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังยืนยันตามผลการศึกษาที่แล้วมาหลายเรื่อง ที่ส่อว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยป้องกันมะเร็งแบบนี้ได้ การให้นมลูกจะเป็นปัจจัยป้องกันมะเร็งชนิดรุนแรงที่สุดได้แบบหนึ่งหมอเผย

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ป้องกันหวัด และบำรุงสายตา ด้วย เคพกูสเบอรี่




เคพกูสเบอรี่ ไม้ผลขนาดเล็กที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินเอ สามารถช่วยป้องกันไข้หวัด และช่วยบำรุงสายตาได้

เคพกูสเบอรี่ เป็นไม้ผลขนาดเล็กที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน กลิ่นหอม มีถิ่นกำเนิดจากประเทศบราซิล เป็นพืชตระกูลเดียวกับพริก มะเขือ มะเขือเทศ มันฝรั่ง ยาสูบ พิทูเนีย มีชื่อภาษาไทยว่า โทง เทงฝรั่งเนื่องจากมีลักษณะเหมือนกับต้นโทงเทงที่เป็นวัชพืช ต่อมามีการเรียกชื่อใหม่ คือ ระฆังทองเคพกูสเบอรี่อุดมด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันไข้หวัด วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา เหมาะสำหรับการรับประทานผลสด ชุบช็อก โกแลต จุ่มน้ำผึ้ง ใส่ในสลัด ทำน้ำผลไม้ หรือนำไปทำเป็นแยมก็ได้

                  ประเทศไทยมีปลูกมากที่แปลงของเกษตรกรชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง บ้านขุนกลาง ดอยอินทนนท์ เป็นพันธุ์ที่ทางราชการไทยส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก เป็นพันธุ์ที่ทรงพุ่มมีความสูงประมาณ 1.20 เมตร กว้างประมาณ 1.50 เมตร ผลมีขนาดใหญ่รูปทรงกลมสามารถปลูกได้ดีในพื้นที่ที่มีความสูง 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ลักษณะดอกเมื่อผลสุก กลีบเลี้ยงหุ้มผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองฟางข้าวฤดูกาลเก็บเกี่ยวอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน ลักษณะเนื้อด้านในสีเหลืองสวยฉ่ำน่ารับประทาน


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์