ไอศกรีมแบบไหน ลดความอ้วนได้




ไอศกรีมแบบไหน ลดความอ้วนได้
 
                    อากาศบ้านเราคงจะยากที่จะอดใจลิ้มรสไอติมรสชาติเย็นๆ แต่สำหรับสาวที่กำลังไดเอท ไอติมธรรมดาๆ คงจะเพิ่มน้ำหนักได้ไม่น้อย มาดูไอติมรสชาติของสาวๆ ไดเอทกัน




Frozen Yogurt
                 สาวๆ หลายคนรู้จักเจ้า Frozen yogurt นี้เป็นอย่างดี เพราะมีขายกันเยอะแยะมากมาย ไอติมชนิดนี้เป็นไอติมที่มีส่วนผสมของโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์และส่วนใหญ่ไขมันจะต่ำสุดๆ เลย เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ไดเอท รสชาติอร่อย ชื่นใจ





Sherbet
                ไอติมผลไม้ที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ น้ำตาล และไข่ขาว และไม่ใส่นมหรือครีม แต่บางทีเราก็จะพบไอติมเชอร์เบทที่มีส่วนผสมของนมหรือครีมบ้าง เพื่อให้เนื้อของไอติมแน่นและเข้มข้นขึ้น เวลาที่สาวๆ กินก็นิยมกินพร้อมผลไม้สด ซึ่งเลือกได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลไม้รสเปรี้ยวหรือรสหวาน




Soft – Serve
                ไอติมนมเนื้อเนียนนุ่ม ส่วนผสมจะต่างจากไอติมธรรมดา ความเก๋ของไอติมชนิดนี้อยู่ที่ปริมาณไขมันที่ต่ำกว่าไอติมทั่วไป ไม่ต้องแช่เย็นก่อนเสิร์ฟ แต่จะนำส่วนผสมใส่เครื่องแล้วบีบใส่โคนหรือถ้วยเสิร์ฟได้เลย ความเก๋อีกอย่างคือเนื้อของไอติมชนิดนี้จะบางและเบา เพราะผ่านการตีในเครื่องจนเนื้อไอติมฟูและมีอากาศอยู่ในเนื้อไอติมอยู่มาก เวลาที่เรากินไอติมซอฟท์เสิร์ฟ 1 ถ้วย ปริมาณเนื้อไอติมจริงๆ จึงน้อยกว่าไอติมทั่วไป จึงจัดเป็นไอติมที่เหมาะกับสาวๆ ที่กำลังลดความอ้วนค่ะ




Sorbet
               Sorbet นี่เรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกับ Sherbet แค่ชื่อก็คล้ายกันมากๆ แล้ว ยังเป็นไอติมที่กินได้ในช่วงลดน้ำหนักเหมือนกันอีกด้วย โดยชอร์เบทเป็นไอติมที่มีส่วนผสมของน้ำผลไม้ น้ำตาล อาจมีส่วนผสมของเหล้าหรือกาแฟด้วยก็ได้ แต่ไม่มีส่วนผสมของนมและไข่ขาวเหมือน Sherbet แต่รสชาติอร่อยแถมไม่มีไขมันหรือแคลอรีสูงๆ


                 แต่อย่าเพิ่งดีใจไป แม้ว่าไอติมเหล่านี้จะกินได้สบายๆ ในช่วงลดน้ำหนัก แต่ก็ควรคุมให้กินแต่พอดี ไม่ใช่เห็นว่ากินได้เลยซัดโฮกซะเต็มที่ ต่อให้เป็นไอติมที่ไขมันต่ำยังไง ถ้ากินเยอะๆ ก็อาจจะอ้วนได้เหมือนกัน


ที่มา Spicy

ทานอาหารข้างนอกบ้าน...ผอมได้เหมือนกัน..




กินอาหารนอกบ้าน ก็ผอมได้

          เคยไหมที่รู้สึกว่าพยายามลดน้ำหนักเท่าไหร่ก็ไม่ค่อยเห็นผล ลองทบทวนดูว่าช่วงที่ผ่านมาคุณกินอาหารตามสูตรที่บ้าน หรือออกไปกินอาหารข้างนอกบ่อยแค่ไหน เพราะอย่าลืมว่าอาหารข้างนอกนั้นมีวิธีการปรุงที่ต่างจากที่บ้าน จึงมีโอกาสที่จะเพิ่มแคลอรีให้คุณได้ ดังนั้น ถ้าอยากผอมละก็ มาลองทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้ทุกครั้งที่กินอาหารนอกบ้าน

           1. เลือกร้านอาหารที่คุณคุ้นเคย เพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าเมนูประจำของร้านนั้นมีอะไรบ้าง และคุณก็จะสามารถคำนวณแคลอรีได้อย่างคร่าว ๆ ก่อนจะเลือกสั่งเมนูที่เหมาะกับตัวเอง

           2. แทนที่จะเลือกเปิดไวน์หรือสั่งน้ำอัดลม เปลี่ยนเป็นสั่งน้ำแร่สักขวดก็พอ นอกจากจะประหยัดแคลอรีแล้วยังประหยัดเงินด้วย


           3. หากไม่อยากดื่มน้ำเปล่า เลือกสั่งชาเขียวไม่ใส่น้ำตาล หรือน้ำผลไม้คั้นสดแบบไม่ใส่น้ำเชื่อมแทนก็ได้

           4. เลือกออร์เดิร์ฟที่เน้นผักและผลไม้ และเลี่ยงอาหารทอดและเมนูจากครีมหรือชีส

           5.น้ำสลัดก็เป็นตัวการที่ช่วยเพิ่มแคลอรีได้มากทีเดียว เปลี่ยนมาสั่งสลัดน้ำใสแทน หรือหากเป็นบุฟเฟต์ที่มีให้ตักสลัดบาร์ คุณควรแน่ใจว่าคุณเลือกน้ำสลัดแบบแคลอรีต่ำแล้ว

           6. เลี่ยงเมนูที่เป็นแป้งเน้น ๆ อย่างเมนูที่ประกอบด้วยมันฝรั่ง พาสต้า หรือข้าวสวยเยอะ ๆ รวมทั้งขนมปังและพิซซ่า

           7. เลือกสั่งซุปผัก เพราะในน้ำซุปทั่วไปนั้นมาจากการเคี่ยวเนื้อสัตว์ จึงมีแนวโน้มว่าจะมีไขมันสูงได้

           8. พยายามสั่งเมนูจากเนื้อปลาหรือเนื้อไก่ และไม่เป็นเมนูทอดที่มีน้ำมันเยอะ

           9. หากร้านไหนมีอาหารมังสวิรัติ หรืออาหารเมนูสำหรับคนลดน้ำหนักบริการด้วย ก็อย่ารอช้าที่จะสั่งเมนูเหล่านั้นแทน

           10. ค่อยๆ กินอย่างช้าๆ การกินข้าวนอกบ้านนั้นเปิดโอกาสให้คุณได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครก็ตามที่คุณไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน หรือคู่เดต ใช้โอกาสนี้ พูดคุยกันสนุกๆ และค่อยๆ กินไปเรื่อยๆ จะดีกว่า อย่าก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว หรือมัวแต่สั่งเพิ่มเลย

           11. กินโยเกิร์ต หรือผลไม้สดเป็นของหวาน หากที่ร้านไม่มีโยเกิร์ต หรือผลไม้บริการ ก็งดสั่งของหวานไปเลยจะดีกว่า

           12. จำไว้ว่าคุณควรหยุดกินทุกอย่างในช่วงเวลา 3 ชั่วโมงก่อนจะถึงเวลานอน ก่อนออกไปกินมื้อเย็นนอกบ้านควรกะเวลากลับบ้านและเข้านอนให้พอดีด้วย และควรทำกิจกรรมอย่างอื่นก่อนที่จะกลับบ้านนอน เช่น หาเวลาเดินเล่นไปเรื่อยๆ สักพักก่อนที่จะกลับบ้าน


ที่มา Lisa

เลือกโปรตีน... จากพืชผัก




ทางเลือกโปรตีน  Protein จากพืชผัก

                  "โปรตีน"หนึ่งในสารอาหารหมู่หลักที่นอกจากจะให้พลังงานแล้ว ยังทำหน้าที่ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ เรียกได้ว่า โปรตีนเป็นองค์ประกอบของชีวิตที่เราขาดไม่ได้ เพราะถ้าขาดโปรตีนเท่ากับว่าเซลล์ที่เสื่อมก็จะเสื่อมต่อไปอย่างนั้นไม่มีวันฟื้นฟูขึ้นมาได้ แต่จะค่อยสลายตายไปในที่สุด

                   นักโภชนาการแนะนำให้ทานเนื้อสัตว์ไม่เกินครึ่งกิโลกรัมต่อสัปดาห์ และให้กินอาหารกลุ่มโปรตีนเนื้อ ไข่ นม ถั่ว เต้าหู้ โปรตีนเกษตรร้อยละ 15 ของอาหารทั้งหมด หมายความว่าเราต้องทานโปรตีนจากพืช ไข่ หรือนมไขมันต่ำมากขึ้น จึงจะได้โปรตีนมากพอ


                   โปรตีนจากสัตว์มักจะมีกรดอะมิโนชนิดจำเป็นครบในสัดส่วนที่ค่อนข้างพอดี (ดีที่สุด คือ นมกับไข่) จึงเรียกว่า โปรตีนสมบูรณ์ ส่วนโปรตีนจากพืชมักจะมีกรดอะมิโนชนิดจำเป็นในสัดส่วนที่ไม่ค่อยพอดี บางอย่างมากไปบางอย่างน้อยไปหรือไม่พอ จึงเรียกว่า โปรตีนไม่สมบูรณ์ วิธีการทานโปรตีนจากพืชให้สมดุลหรือมีสัดส่วนของโปรตีนชนิดจำเป็นครบถ้วน คือ อย่าทานโปรตีนชนิดเดียวติดต่อกันหลายๆ มื้อ และควรทานโปรตีนจากพืชหลายๆ อย่างสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันแบบไม่ซ้ำซากจำเจ เพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็นครบ

                 อีกวิธีที่น่าสนใจ คือ ทานโปรตีนจากพืชครึ่งหนึ่ง จากเนื้อสัตว์ครึ่งหนึ่งให้มีเนื้อนมไข่พอสมควร และหลีกเลี่ยงการทานธัญพืชขัดสี เปลี่ยนจากการทานข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้อง เปลี่ยนจากการทานขนมปังขาวมาเป็นขนมปังโฮลวีท เนื่องจากคุณค่าธัญพืชอยู่ที่จมูกข้าวกับรำเป็นสำคัญ

              ซึ่งการทานข้าวพร้อมๆ กับถั่วและงาก็เป็นทางเลือกที่ดีและได้คุณค่าจากสารอาหารสูงเช่นกัน
พืชที่อุดมไปด้วยโปรตีนและหาทานได้ง่ายในประเทศไทยมีมากมาย เช่น พืชตระกูลถั่วทั้งหลายสามารถนำไปหุงพร้อมกับข้าวหรือทานเป็นของว่างที่ให้รสหวานตามธรรมชาติ

           

ส่วนอาหารที่มีโปรตีนจากพืชในปริมาณมาก ได้แก่ ซุปมิโสะของญี่ปุ่นที่คนไทยนิยมทานกันมากมีโปรตีนจากถั่วเหลืองมากกว่า 12 เปอร์เซ็นต์ แถมยังมีจุลินทรีย์ชนิดดีอีกต่างหาก หรือจะเป็นเนยถั่วลิสงที่มีโปรตีนมากถึง 28เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย นอกจากนี้ ข้าวที่เราทานกันทุกวันถ้าหันมาทานเป็นข้าวกล้องแทนก็จะได้โปรตีนเพิ่มมากขึ้นอีก 2.5 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว


             อาหารไทยเป็นอาหารสมุนไพรป้องกันโรคในตัวอยู่แล้ว การทานโปรตีนจากพืชจึงเป็นทางเลือกของสุขภาพดีที่น่าสนใจ เพราะเพียงแค่ประยุกต์เมนูเพียงแค่ประยุกต์เมนูอาหารสักเล็กน้อยตามวิถีชีวิตก็อร่อยได้อย่างมากคุณค่า แถมไม่ต้องกลัวเรื่องไขมันส่วนเกินจะมากวนใจอีกด้วย


ที่มา หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

ลดความอ้วน ด้วยอาหาร..ทานแล้วอิ่มนาน ..





อาหารลดความอ้วน และอิ่มนาน

                 โปรตีนจากเนื้อจะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อต่างๆ ขณะที่ ไข่ขาวและไข่แดง กินได้ไม่เป็นภัยกับหัวใจ และ แอปเปิ้ล ยังช่วยให้อิ่มนาน เพราะมีกากใยถึง 4-5 กรัมต่อลูก จากการศึกษาพบว่า อาหารและผลไม้บางอย่าง ซึ่งนอกจากไม่ทำให้อ้วนแล้ว ยังช่วยให้น้ำหนักลดลงด้วย

                 มันอาจจะก่อความผิดคาดขึ้นบ้าง เมื่อยอดอาหารนำขบวนโดยสเต๊กเนื้อ ซึ่งวารสารวิชาการ “โภชนาการบำบัดอเมริกัน” เปิดเผยว่า มันทำให้น้ำหนักลดได้มากกว่า การบริโภคอย่างอื่น แต่จำกัดเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ เนื่องจากโปรตีนในสเต๊กจะช่วยรักษามวลของกล้ามเนื้อต่างๆ ระหว่างที่น้ำหนักลดเอาไว้ให้

                ไข่ เป็นยอดอาหารอีกอย่างหนึ่ง ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยรัฐหลุยเซียนา ของสหรัฐฯ แนะนำให้สวาปามทั้งไข่ขาวและไข่แดง ไข่ไม่เป็นภัยกับหัวใจ และยังช่วยลดพุงด้วย เคยมีผู้พยายามลดน้ำหนักกินไข่กับขนมปัง และเยลลี่ เป็นอาหารเช้า ลดน้ำหนักได้ มากกว่าผู้ที่กินขนมปังกับอย่างอื่น ที่ให้ปริมาณแคลอรีมากเท่าๆกัน แต่งดไข่ถึง 2 เท่า

           

   ผลแอปเปิ้ล มหาวิทยาลัยเพนน์ สเตท ศึกษาพบว่า ผู้ที่กัดแอปเปิ้ลกินเคี้ยวกร้วมๆ รองท้องก่อนที่จะกินพาสต้า จะกินอาหารได้น้อยกว่าเพื่อนที่กินอย่างอื่นไปก่อน แอปเปิ้ลแต่ละลูกจะให้กากใยมากระหว่าง 4-5 กรัม จึงทำให้อิ่มทน ทั้งยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากระบบเผาผลาญอาหารของร่างกายด้วย ซึ่งทำให้พุงออกได้ง่าย

             นอกจากนั้น ยังได้แก่ พริก โยเกิร์ต ถั่วแขกชนิดเม็ดแดงและเหลือง ผลอโวคาโด เนยแข็งอิตาลี และน้ำมันมะกอก


ที่มา ไทยรัฐออนไลน์





..ควบคุมแคลอรี่..ช่วยลดน้ำหนักได้




      การที่เราลดน้ำหนัก โดยการควบคุมแคลอรี่นั้น หลายๆท่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะลดน้ำหนัก แต่มีงานวิจัยที่บอกว่าประมาณ 20% ที่ประสบความสำเร็จในการลดและควบคุมน้ำหนัก เมื่อตั้งเป้าไว้ที่ 10% ของน้ำหนักตัวภายในเวลา 1 ปี

          ความสำคัญของการตั้งเป้าหมาย
 เช่น ถ้าคุณน้ำหนัก 80 กิโลกรัม คุณควรตั้งเป้าหมายไว้ที่ 8 กิโลกรัมภายในระยะเวลา 1 ปี
งานวิจัยชิ้นนี้รายงานว่า ส่วนใหญ่สามารถลดน้ำหนักได้ 33 กิโลกรัม ภายในระยะเวลา 5 ปี
 และในการควบคุมน้ำหนักให้คงที่ จำเป็นต้องเพิ่มการออกกำลังกาย และกิจกรรมให้มากขึ้น ควบคุมแคลอรี่ และควบคุมอาหารที่มีไขมัน อย่าอดอาหารเช้า แม้ว่าส่วนใหญ่มักจะลดน้ำหนักไม่สำเร็จ แต่เราก็รู้ว่าบางคนที่ลดน้ำหนักได้สำเร็จ มีงานวิจัยในปี ค.ศ. 1994 ที่เลือกประชากรที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 4000 คน ที่สามารถลดน้ำหนักได้ 13.6 กิโลกรัมขั้นต่ำ และควบคุมน้ำหนักได้สำเร็จ มาสำรวจแบบสอบถามว่า "อะไรที่เป็นความลับ?"

            จากแบบสอบถาม ครึ่งหนึ่งเคยอ้วนตั้งแต่เด็ก และเกือบ 75% มีพ่อหรือแม่ หรือทั้งสองคน อ้วน (เห็นไหมครับ ถ้าพ่อหรือแม่อ้วน คุณก็มีสิทธิผอมได้)
             ผู้ตอบแบบสอบถามลดน้ำหนักได้เฉลี่ย 33 กิโลกรัม (น้อยที่สุด 13.6 กิโลกรัม) ได้ติดต่อกันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 ปีขึ้นไป 13% สามารถควบคุมน้ำหนักได้เป็นระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป 55.4% ของผู้ที่ลดน้ำหนักได้สำเร็จ ให้ผู้อื่นช่วยเหลือครับ เช่น แพทย์ นักโภชนาการ หรือโปรแกรมลดน้ำหนัก ที่เหลือ 44.6% สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยตนเอง 89% ใช้ทั้งวิธีควบคุมแคลอรี่และวิธีการออกกำลังกาย มีเพียงแค่ 10% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จเพียงแค่ควบคุมอาหารเพียงอย่างเดียวและ 1% เท่านั้นที่ลดน้ำหนักเพียงแค่ออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว


            ดังนั้นในการลดน้ำหนัก คุณต้องใช้ทั้งวิธีควบคุมแคลอรี่ที่เข้าสู่ร่างกาย และเพิ่มการออกกำลังกายให้มาขึ้น ใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง มักจะไม่ได้ผล

            ยุทธวิธีในการควบคุมแคลอรี่ (ผู้ตอบแบบสอบถามมักใช้มากกว่า 1 วิธี) งดอาหารประเภทใดประเภทหนึ่ง (87.6%) เช่น งดอาหารที่มีไขมัน งดขนมหวาน จำกัดปริมาณ (44%) นับแคลอรี่ (43%) ใช้อาหารเสริม (20%)(สังเกต ส่วนใหญ่ก็ลดน้ำหนักได้โดยที่ไม่ต้องหาอาหารเสริมมารับประทาน) นับปริมาณไขมัน (25%) เปลี่ยนประเภทของอาหาร (22%) เช่น เปลี่ยนจากนมสด เป็นนมพร่องมันเนยเพื่อลดไขมันลง หรือเปลี่ยนจากไอศกรีม เป็นโยเกิร์ต


            ซึ่งส่วนใหญ่(เกือบทั้งหมด)ใช้วิธีควบคุมประมาณแคลอรี่ และควบคุมปริมาณของไขมัน และออกกำลังกาย ส่วนใหญ่จะรับประทานอาหาร ปริมาณเฉลี่ย 1380 - 1800 กิโลแคลอรี่ต่อวัน โดยที่ 78% จะรับประทานอาหารเช้าทุกวัน มีเพียงแต่ 4% ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า

            ส่วนใหญ่อาหารเช้าคือผลไม้หรือ ซีเรียลที่มีไฟเบอร์ และรับประทานอาหารนอกบ้านเฉลี่ย 2.5 มื้อต่อสัปดาห์ (ปัญหาของอาหารนอกบ้านหรือร้านอาหาร เราจะไม่สามารถควบคุมประเภทและปริมาณอาหารได้เลยครับ)ส่วนใหญ่แล้วออกกำลัง กายและเผาผลาญแคลอรี่ได้ 2545 กิโลแคลอรี่ต่อสัปดาห์ ถ้าเป็นผู้ชายเฉลี่ยที่ 3293 กิโลแคลอรี่ต่อสัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะออกกำลังกายที่ความหนักหน่วงปานกลางเช่น เดินเร็ว 76% ปั่นจักรยาน 20% ยกน้ำหนัก 20% การผ่อนคลายความเครียดก็เป็นส่วนสำคัญเช่นกัน เพราะความเครียดและภาวะซึมเศร้าจะทำให้รัประทานอาหารมากขึ้น

           น้ำหนักที่กลับคืนมา: ส่วนใหญ่แล้วน้ำหนักมักจะกลับคืนมา บางส่วนในช่วง 1 ปีแรก แต่ว่าถ้าคุณสามารถลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่อง 2-5 ปี โอกาสที่น้ำหนักจะกลับคืนมาน้อยลงอีกครึ่งหนึ่ง และภายหลังจาก 5 ปี โอกาสของน้ำหนักที่จะกลับคืนมาก็จะยิ่งน้อยลงอีกครึ่งหนึ่ง

           วิธีที่จะลดน้ำหนักไม่ยากเลย หากเรามีความตั้งใจจริง ยังไงก็ขอให้คนที่กำลังลดน้ำหนักอยู่พยายามต่อไป อีกไม่นานเห็นผลแน่นอน


ที่มา: Never-Age.com

กินผักให้ครบ....ง่ายนิดเดียว...





 สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการทานผัก       ทุกวันนี้คุณกินผักวันละแค่ไหน? สัปดาห์หนึ่งกินผักได้ถึง 5 ชนิดหรือไม่?  เบื่อ กับการต้องทนกินผักเป็นจานๆ กับการทำที่อาจจะไม่ค่อย สะอาดหรือน้ำมันมากไปหน่อยมั้ย? เบื่อกับการที่ต้องทนกินสลัดแทนสเต็กเวลาไปกินร้านอาหารมั้ย?

      กังวลว่าน้ำผักผลไม้รวม กล่องๆที่ดื่มอยู่นั้นมีน้ำตาลมากไปมั้ย?
ถ้าคนอื่นทำไม่ถูกใจ เราก็ต้องทำเอง แต่อย่าพึ่งคิดว่ามันจะยุ่งยาก ลองดูนี่ก่อน...

***ลืมบอกว่าต้องมีเครื่องปั่นน้ำผลไม้ เอาแบบธรรมดา ที่ไม่ต้องกรอง***

เครื่องดื่ม "Mark VII"   
1) ไปตลาด / ซูปเปอร์ เลือกผักที่เรากินไม่บ่อยมา 5-6 อย่าง
2) เลือกผลไม้ที่เราไม่ค่อยกินมาอีก 1-2 อย่าง

3) หั่นผัก 4-6 อย่าง เป็นชิ้นเล็กๆให้ง่ายต่อการปั่น -ลวกน้ำร้อนฆ่าเชื้อด้วยนะ
4) ปลอกผลไม้ 2 อย่าง เป็นชิ้นเล็กๆ แต่เอาแค่อย่างละ 1/2 ลูกพอ หรือ เอาผลไม้อย่างเดียวลูกเดียวพอ
5) แยกสัดส่วนด้วยการเอาชามก๋วยเตี๋ยวมาตวง ในนั้นต้องมี ผัก 5 ผลไม้ 2 --หรือ-- ผัก 6 ผลไม้ 1

6) ปริมาณของผักอย่างไรก็ได้ แต่ผลไม้ไม่ควรเยอะเกินที่บอก เพราะเราแค่ต้องการเอารสหวานไปกลบรสผัก -จะไม่ใส่ผลไม้เลยก็ได้ แต่ถ้ามีนึดนึงมันจะกลืนง่ายกว่า
7) ปั่นรวม ทั้งหมด เพิ่มน้ำร้อนไปนิดนึงให้มันปั่นง่าย เสร็จแล้วดื่มเลยหรือจะแช่เย็นก็ได้ กินทั้งกากไปด้วยนะ!!


ตัวอย่างส่วนประกอบ
A) กะหล่ำปี คะน้า แครอท พริกหวาน บร๊อคโคลี่ + มะเขือเทศ มะนาว
B) หัวหอม หน่อไม่ฝรั่ง ฟักทอง ผักโขม แตงกวา + แคนตาลูป สัปปะรส

ชอบแบบไหนก็เลือกเอาเอง แนะนำอาทิตย์ละ 4 ถ้วยก็ OK
กินสลับไปสลับมาแล้วแต่สะดวก กินติดต่อกันสม่ำเสมออย่างน้อย 3 เดือน หน้าตาผิวพรรณ ดีแน่นอน


ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติม Fight! Magazine 

รองพื้นดีดี... ที่เพื่อนๆ ใช้กัน..



     
         ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ เนื่องจากเป็นคนที่ไม่ค่อยจะได้แต่งหน้าสักเท่าไหร่ เพราะเป็นคนที่แพ้ง่าย  หน้าก็มีความมัีนปริมาณมาก  สำหรับเรื่องสิว ก็มีมากอยู่เหมือนกันค่ะ เรื่องรอยแผลเป็นไม่ต้องพูดถึงค่ะ แคะแกะเกา สารพัด แผลเป็นมีเยอะอยู่ค่ะ เกือบทั่วหน้า แต่อยากแต่งหน้าโดยเริ่มจากการใช้รองพื้นที่เหมาะกับสภาพใบหน้าของเรา รองพื้นที่ไม่ค่อยแพ้  รองพื้นที่ปิดรอยแผลเป็นสิวได้ดี และสามารถติดทนนาน หน้าเด้งได้ทั้งวันแบบว่าไม่ต้อง โบ๊ะเพิ่มค่ะ ...จากการหาข้อมูลก็ได้ประสบการณ์จากเพื่อนๆ ใน ห้องแป้งหลายท่านแนะนำ มา ..ไปดูเลยดีกว่าค่ะว่า ...มียี่ห้ออะไรกันบ้าง...

     

จากคุณ : ถุงผ้าสีขาว 
เพิ่งได้ลอง revlon วิปครีมอ่ะค่ะ  ติดใจเลยอ่ะ หน้าไม่มัน ปกปิดดี
ปกติใช้ lancome แต่ตัวนี้ปกปิดไม่ค่อยดี แต่ผิวช่ำๆอ่ะค่ะ 


                                                                      

จากคุณ : Many Minny    
revlon 




จากคุณ : whitepiano555 
Lunasol water gel foundation 
เนียน ผ่อง เด้ง ผิวดูดีมีน้ำมีนวลมากกกกกกกกกกก 

   

จากคุณ : I lost in the USA (I lost in the USA) 
เอสเต้ ขวดแก้ว
ลองดูนะคะ เราก็เพิ่งหันจาก revlon มาลองค่า
แต่ตอนนี้เลิฟเอสเต้มากมาย ทน ไม่เยิ้ม (คหสต) คะ
** แต่ถ้าเอาไม่โบ๊ะ อาจต้องมองตัวอื่นะคะ เพราะตัวนี้แอบหนานิดๆ 







        ยังไงต้องไปหาซื้อมาทดลองใช้บ้างแล้วค่ะ จะได้มีรองพื้นดีๆ ในการแต่งหน้ากะเขาสักที....


ขอบคุณ  ข้อมูล pantip ภาพจาก Internet




รู้หรือไม่ว่า สถานที่โปรดปรานของสาวๆ เป็นแหล่งรวบรวมเชื้อโรค...




เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า  เชื้อโรค  มักอาศัยอยู่รอบตัวของเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งสถานที่ ที่ท่านผู้หญิงเราต้องเดินทางไปเยือนบ่อยๆ อย่างเช่น ห้องน้ำสาธารณะ  ร้านทำเล็บ  ฟิตเนส ฯลฯ ถึงแม้จะดูลักษณะภายนอกว่าสะอาดตา น่าไว้วางใจ แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นแหล่งสะสมซ่อนเชื้อโรคเพียบ!!!!!!!    เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า สถานที่ยอดฮิต ที่สาวๆเราต้องไปอยู่บ่อยๆ นั้น จะมีเชื้อโรคแฝงตัวอยู่จุดไหนตำแหน่งใดกันบ้าง


 ฟิตเนส

สำหรับสาวรักสุขภาพที่หมั่นไปออกกำลังกายฟิตหุ่นตามฟิตเนส (fitness) หรือสปอร์ตคลับ (sport club) บ่อยครั้ง ขอบอกตรงนี้เลยว่า... หากไม่ระวัง ฟิตเนสที่คุณไปเยือนเพื่อหวังสร้างสุขภาพ อาจจะนำเชื้อโรคมาสู่คุณได้!

            จุดแรกที่เชื้อโรคอาจแฝงตัวอยู่ คือ พื้นห้องน้ำ ที่เต็มไปด้วยความชื้น ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่เชื้อรา และเชื้อไวรัส (virus) เจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี และเชื้อโรคเหล่านี้เอง ที่เป็นต้นตอของโรคผิวหนังหลากหลายชนิด หากคุณเผลอไปเดินเท้าเปล่าในห้องน้ำบ่อยๆ ล่ะก็ ระวังฮ่องกงฟุตหูดจะถามหานะคะ

             อีกจุดที่ต้องเตือนกันดังๆ คือ บริเวณเก้าอี้..ที่นั่งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งในตู้อบซาวน่า (sauna) ในห้องอาบน้ำ ห้องแต่งตัว ฯลฯ ถือว่าเป็นจุดเสี่ยงมากๆ ที่คุณจะติดเชื้อโรคได้ หากคุณนุ่งผ้าขนหนูสั้นๆ แล้วดั๊นเผลอถลกผ้าขนหนูขึ้นสูง จนก้นที่เปลือยเปล่า ต้องสัมผัสกับพื้นที่นั่งโดยตรง เชื้อแบคทีเรียที่ติดอยู่ตามที่นั่ง อาจเข้ามาป้วนเปี้ยนในน้องหนู และทำให้คุณเกิดผื่นแดง คันยุบยิบ หรือถึงขั้นเกิดเกลื้อนบริเวณจุดซ่อนเร้นได้เลยหล่ะ

             จุดเล็กๆ ที่ไม่ควรมองข้ามคือ เครื่องออกกำลังกายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นดัมเบล (dumbell), ลู่วิ่ง, หรือจักรยานไฟฟ้า ฯลฯ กว่าจะมาถึงมือคุณ ต้องมีหลายคนเล่นหลากคนจับ จนเชื้อโรคและเชื้อไวรัสต่างๆ เกาะติดอยู่ ฉะนั้นหลังออกกำลังกาย หรือสัมผัสกับเครื่องออกกำลังกายแล้ว อย่าเพิ่งเอามือสัมผัสดวงตา, ปาก, จมูก จนกว่าจะล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เสียก่อน

ร้านทำเล็บ

อีกสถานที่ยอดฮิตซึ่งสาวเราปลื้มปริ่ม อย่างร้านทำเล็บ ก็เป็นอีกแหล่งที่จะติดเชื้อโรคได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอ่างแช่เท้า ที่หากทางร้านล้างอ่างแช่เท้านั้นไม่สะอาด หรือมีระบบการระบายน้ำไม่ดี (กรณีเป็นอ่างระบบน้ำวน) เชื้อโรคในท่อน้ำทิ้งอาจวนเวียนกลับมาอยู่น้ำที่คุณแช่เท้า และการเอาเท้าลงไปแช่ในน้ำเปื้อนเชื้อโรคนี้ จะมีความอันตรายมากขึ้นเป็นทวีคูณ หากคุณดันเผลอโกนขนหน้าแข้ง ก่อนเข้าไปทำเล็บเท้า! ทั้งนี้เพราะการโกนขนหน้าแข้ง มีโอกาสทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการระคายเคือง แถมเปิดทางให้เชื้อโรคต่างๆ เข้าไปยังรูขุมขนได้ง่ายขึ้นอีกต่างหาก

            ดังนั้นก่อนจะไว้วางใจให้ช่างเล็บได้ตกแต่งเสริมสวยแก่มือเท้า ควรเลือกร้านที่ไว้ใจได้ ดูสะอาดสะอ้าน สังเกตสักนิดว่าทางร้านมีระบบฆ่าเชื้อโรคอย่างไร กรรไกรตัดเล็บหรืออุปกรณ์ที่เป็นโลหะ มีการนำไปอบฆ่าเชื้อหรือไม่ รวมไปถึงตะไบเล็บ ถ้าให้ดีควรเลือกร้านที่ใช้ตะไบเล็บแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เพราะของเหล่านี้ต้องสัมผัสกับผิวของคุณโดยตรง คิดดูสิ... หากตะไบเล็บนั้นถูกใช้งัดซอกเล็บขบของคนอื่นจนเลือดซิบๆ มาแล้ว เมื่อเอามางัดแงะเล็บของคุณอีก เชื้อโรคจะไม่ติดตามมาหรอ!?

 ห้องน้ำสาธารณะ

“การใช้กระดาษทิชชู่ซับที่รองนั่งชักโครก สามารถเช็ดเอาสิ่งสกปรก และเชื้อโรคออกได้บ้าง แต่ก็ไม่สามารถป้องกันคุณให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคได้ 100%” ดร.Philip M.Tierno ผู้อำนวยการสถาบันจุลชีววิทยาและภูมิคุ้มกันวิทยา แห่งมหาวิทยาลัย New York ระบุ

เขาแนะนำว่า คุณสาวๆต้องระมัดระวังการเข้าห้องน้ำสาธารณะให้มากเป็นพิเศษ เพราะแม้จะเช็ดคราบน้ำคราบสกปรกออกจนหมด แต่เชื้อแบคทีเรียเชื้อไวรัสจากอุจจาระหรือปัสสาวะของใครต่อใครที่เข้าก่อนคุณอาจยังหลงเหลืออยู่ ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้คุณใช้ทิชชู่ชนิดที่มีน้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดก่อนนั่ง หรือพกพากระดาษรองนั่งไปปูทับฝาชักโครกก่อนทำกิจส่วนตัว จะป้องกันตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

และหลังเสร็จสิ้นภารกิจส่วนตั๊วส่วนตัวแล้ว ควรปิดฝาชักโครกก่อนกด เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายในอากาศ ที่สำคัญ หลังเข้าห้องน้ำแล้ว ควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ ถูอย่างน้อยสัก 15วินาทีให้ทั่วทั้งมือ ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือหากไม่มีสบู่ก็ต้องใช้น้ำสะอาดล้างซ้ำหลายๆ ครั้ง เพื่อป้องกันเชื้อโรคติดมือคุณออกไป เพราะหากในมือมีเชื้อโรคอยู่ แล้วไปเผลอหยิบจับอาหารเข้าปาก ระวังจะเจ็บป่วยได้ง่ายๆ

ห้างสรรพสินค้า

เมื่อยามไปเดินช้อปปิ้ง (shopping) เลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย อาจมีหลายแบรนด์หลากแบบให้เลือก และถ้าจะรู้ว่าถูกใจจริงมั้ยก็ต้องลองสวมใส่ซะหน่อย...นี่เองที่เป็นอีกจุดที่ซ่อนความเสี่ยงเอาไว้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลองชุดว่ายน้ำหรือชุดชั้นในนั้น อันตรายมาก เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่า ก่อนจะมาถึงคุณ ชุดนั้นๆ ถูกใครลองมาบ้างแล้ว หากผู้ที่มาลองสวมใส่ก่อนหน้าคุณเขามีแผลพุพอง หรือเป็นโรคผิวหนังอยู่ เสื้อผ้าเหล่านั้นก็จะมีเชื้อโรคเชื้อไวรัสเกาะติดอยู่ เมื่อคราวเคราะห์บังเกิด คุณดั๊นไปลองเจ้าชุดติดเชื้อโรคนั้นพอดี คุณก็มีโอกาสจะติดเชื้อราหรือเชื้อไวรัส จนเกิดโรคผิวหนังโรคเริมได้

นอกจากนี้การไปยืนทดลองแต่งหน้าที่เคาน์เตอร์เครื่องสำอางก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องระวัง เพราะคุณก็ไม่อาจทราบได้อีกเช่นกัน ว่าเครื่องสำอางสำหรับทดลองนั้น ผ่านมือใครต่อใครมาบ้าง จะมีเชื้อโรคแฝงอยู่มากน้อยแค่ไหน เกิดสุ่มสี่สุ่มห้าไปลองอายแชโดว์ (eye shadow) หรือมาสคาร่า (mascara) ที่มีเชื้อโรคเข้า คุณอาจถึงขั้นป่วยเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบได้เลยหล่ะ ฉะนั้นถ้าไม่อยากติดโรคจากสาวนักช้อปคนก่อน ใช้วิธีทดลองเครื่องสำอางที่มือ หรือข้อมือของคุณแทนดีกว่า.. ปลอดภัยกว่าเยอะ!

         


ที่มา : หนังสือพิมพ์  ASTV ผู้จัดการ

"เทศกาลกินเจ"




               สำหรับ ผู้ที่กินเจ หลายท่านย่อม มีวัตถุประสงค์ ในการกินเจแตกต่างกันออกไป หลายคนกินเจเป็นกิจวัตร บางคนอยากลอง บ้างก็ตั้งใจเป็นปีแรก บ้างก็กินเจตามแฟชั่น กินเป็นครั้งคราว แต่จะกินแบบไหน เชื่อว่า การกินเจ มีประโยชน์ อย่างแน่นอน

              คำว่า เจ ในภาษาจีนทางพุทธศาสนานิกายมหายานมีความหมายเดียวกับคำว่า อุโบสถ ดังนั้นการกินเจก็คือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน เหมือนกับที่ชาวพุทธในประเทศไทยที่รักษาศีล 8 และไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธนิกายมหายานที่ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมนำการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกันเข้ากับคำว่ากินเจ กลายเป็น "การถือศีลกินเจ"

            ปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่ากินเจ และต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

             ทุกๆ วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) นับเป็นการเริ่มเทศกาลถือศีลกินเจ สัญลักษณ์ของการกินเจ  คือ ธงสีเหลือง ๆ มีตัวอักษรมงคลจีน โดยในปีนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 15 - 23 ตุลาคม 2555 ซึ่งบางคนอาจ กินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" นั่นเอง

             สำหรับอาหารเจ นั้นมีให้เลือกมากมายหลายเมนู แน่นอนว่า เมื่อพูดถึงอาหารเจ ต้องห้ามปรุงด้วยเนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมถึงผักฉุน 5 ประเภท ประกอบด้วย

- กระเทียม ทั้งหัวกระเทียม ต้นกระเทียม ส่งผลกระทบต่อธาตุไฟของร่างกาย แม้ว่ากระเทียมจะมีสารที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล แต่กระเทียมมีความระคายเคืองสูง อาจไปทำลายการทำงานของหัวใจได้ ผู้เป็นโรคกระเพาะอาหาร หรือโรคตับ ไม่ควรรับประทานมาก


- หัวหอม รวมไปถึงต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่ ซึ่งตามหลักการแพทย์โบราณของจีนเชื่อว่า หัวหอม จะกระทบกระเทือนต่อธาตุน้ำในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของไต ถึงแม้ว่าหอมแดง มีคุณสมบัติช่วยขับลม แก้ท้องอืด แก้ปวดประจำเดือน แต่ไม่ควรบริโภคมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการหลงๆ ลืมๆ นัยน์ตาพร่ามัว และมีกลิ่นตัว


- หลักเกียว หรือที่รู้จักว่า กระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียมที่พบเห็นทั่วไป แต่จะมีขนาดเล็กและยาวกว่า ในทางการแพทย์ของจีนเชื่อว่า หลักเกียว ส่งผลกระทบกระเทือนต่อธาตุดินในร่างกาย และไปทำลายการทำงานของม้าม


- กุยช่าย เชื่อกันว่า กุยช่าย จะไปกระทบกระเทือนต่อธาตุไม้ในร่างกาย และทำลายการทำงานของตับ





- ใบยาสูบ ไม่ว่าจะเป็นยาเส้น บุหรี่ ของเสพติดมึนเมา อะไรต่างๆ จะส่งผลกระทบกระเทือนต่อธาตุโลหะในร่างกาย และทำงานการทำงานของปอด

ผัก-ผลไม้ต่างๆ 5 สี ที่ควรรับประทานในแต่วัน ตามสีของแต่ละธาตุทั้ง 5 คือ


สีแดง แดงส้ม แสด ชมพู (ธาตุไฟ) เช่น มะเขือเทศ แครอท พริกสุก มะละกอ แตงโม ฯลฯ จะช่วยลดคอเลสเตอรอลส่วนเกิน ลดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสขม ที่จะไปทำอันตรายต่อระบบการไหลเวียนของโลหิต


สีดำ น้ำเงิน หรือ ม่วง (ธาตุน้ำ) เช่น ถั่วดำ เผือก มะเขือม่วง เห็ดหูหนู ลูกหว้า องุ่น เป็น มีประโยชน์ต่อไต ส่วนผู้ที่มีปัญหาเรื่องไต ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเค็ม

.



สีเหลือง (ธาตุดิน) เช่น ฟักทอง ถั่วเหลือง มะม่วง ข้าวโพด กล้วย ทุเรียน เป็น มีประโยชน์ในการบำรุงม้าม แต่ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสหวาน


สีเขียว (ธาตุไม้) เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ฝรั่ง ถั่วฝักยาว หากรับประทานมาก ๆ จะช่วยบำรุงตับ ส่วนผู้ที่มีปัญหาเรื่องตับ ควรงดทานอาหารรสเปรี้ยว


สีขาว (ธาตุโลหะ) เช่น ลูกเดือย ผักกาดขาว มะพร้าว น้อยหน่า มีประโยชน์ต่อปอด สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องปอด ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเผ็ด



ข้อห้ามและข้อปฏิบัติในการกินเจ

- งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
- งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์
- งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
- งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
- รักษาศีล 5
- รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่ พูดจาไพเราะ
- ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว
- ไม่ใช้จานชามปะปนกัน และต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันปรุง สำหรับคนที่เคร่ง

อานิสงส์ จากการถือศีลกินเจ 10 ประการ ได้แก่

- เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหมตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
- จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
- สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
- ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
- มีอายุมั่นขวัญยืน
- ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
- ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
- ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
- สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
- ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติภพ

จะเห็นว่า การถือศีลกินเจ นั้นมีประโยชน์มากมาย เพราะไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ ส่งผลให้จิตใจผ่องแผ้ว หากใครสนใจ เตรียมล้างท้อง รอกินอาหารบุญ กันดีกว่า 







ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

ดื่มเบียร์หนัก เสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ไม่รู้ตัว




            ใกล้เทศกาลถือศีลกินเจ ในช่วงนี้บทความที่เป็นประโยชน์และสร้างความตระหนักสำหรับนักดื่มทั้งหลายได้บ้างไม่มาก็น้อยนะคะ ไม่เฉพาะแต่เบียร์เท่านั้นที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทุกประเภทล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกาย  และที่สำคัญเป็นอันตรายต่อ กระเป๋าตังค์ ของท่านทั้งหลายได้นะคะ


เตรียมพร้อมเทศกาลถือศีลกินเจ กันดีกว่า




          ถึงแล้วกับเทศกาล ถือศีลกินเจ ระหว่าง 15-23 ตุลาคม  อยากเชิญชวนทุกท่านมาทำบุญ กับเทศกาลกินเจกันค่ะ สำหรับการกินเจ ก็มีหลากหลายอย่าง เราจะกินอาหารเจ อย่างไรให้ิอิ่มและอยู่ืืท้อง ไม่เพิ่มน้ำหนักตัวของเรา และให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน


     คำว่ากินเจ บางคนแปลง่ายๆว่าการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ แต่หลักการกินเจที่ถูกต้องคือ การงดทั้งเนื้อสัตว์ ไข่ของสัตว์ รวมทั้งผักฉุนทั้ง 5 นั่นก็คือ กระเทียม (ทั้งหัวและต้น) หัวหอม (รวมถึงต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง, หอมขาวและหอมหัวใหญ่) หลักเกียว (อันนี้คือกระเทียมโทนจีน หน้าตาคล้ายหัวกระเทียมนั่นแหละ) กุยช่าย และใบยาสูบ บุหรี่ รวมทั้งของมึนเมาต่างๆ เพราะเชื่อกันว่าผักทั้ง 5 ชนิด มีกลิ่นรุนแรงมีพิษเข้าไปทำลายธาตุทั้ง 5 ในร่างกายทำให้ระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติ


สำหรับการกินเจอย่างไรให้ได้ประโยชน์  ตามหลักความเป็นจริงสามารถทำได้ง่าย หากผู้กินเจทุกท่าน มีเวลาเลือกสรรวัตถุดิบที่ดี มีประโยชน์ นำมาประกอบอาหารเจทานกันเอง แต่ด้วยวิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบันย่อมเป็นไปได้ยาก ทำให้การซื้ออาหารเจมาทานเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและสะดวกกว่าแต่ อาหารเจที่ขายล้วนมีแต่มันๆ เลี่ยนๆ อุดมไปด้วยแป้ง แทนที่จะได้กินเจเพื่อสุขภาพ กลับกลายเป็นเพิ่มปัญหาให้กับสุขภาพกันไป

มาดูกันได้แล้วคะว่าเทคนิคในการกินเจให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรพิจารณาถึงสิ่งใดกันบ้าง


1. เลือกกินให้ครบ 5 หมู่ในทุกๆ มื้อ หลักนี้สำคัญมากและขาดไม่ได้เลย ไม่ว่าจะทานอาหารปกติ หรือทานอาหารเจ เราควรคำนึงถึงสัดส่วนอาหารในแต่ละหมู่ให้ครบในทุกๆมื้อ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป หากใครกลัวว่าทานเจแล้วไม่ละเว้นการทานเนื้อสัตว์จะได้โปรตีนไม่เพียงพอ ไม่ต้องกังวลนะคะ ให้เน้นทานพืชตระกูลถั่ว เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนกันค่ะ


2. เลือกกินข้าวหรือแป้งที่ไม่ขัดขาว เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ลูกเดือย ธัญพืชต่าง ๆ ร่างกายใช้พลังงานในการย่อยออกมาเป็นแป้งที่พร้อมดูดซึม ซึ่งน้ำตาลไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับปริมาณที่เท่ากันของแป้งขัดขาว




3. เลือกกินของนึ่ง, ต้ม, ตุ๋น และเลี่ยงของทอดและผัด เพราะช่วยให้เลี่ยงการกินน้ำมัน ซึ่งมีไขมันอยู่สูง ข้อนี้สำคัญมากๆสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก และไม่อยากได้ไขมันส่วนเกินแถมมาในช่วงเทศกาลกินเจ


4. เลือกกินผักใบมากกว่าพืชหัว เพราะผักใบมีคาร์โบไฮเดรตที่น้อยกว่าพืชหัวมาก ดังนั้น การกินผักใบจะทำให้เราได้พลังงาน และปริมาณแป้งน้อยกว่าจึงไม่ทำให้อ้วน





5. กินหวานให้น้อยลง ไม่ใช่ว่าเมื่อคุณกินเจแล้ว จะสามารถกินขนมหวานได้เต็มที่ เพราะไม่ว่าจะเป็นอาหารเจหรือไม่เจ ถ้ามีความหวานและผสมน้ำตาลอยู่มากก็อ้วนได้ไม่ต่างกัน


6. ควรกินผลไม้หลายๆ สี ทั้งแดง, เขียว, ขาว, เหลือง, ดำ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินและแร่ธาตุที่หลากหลายและเพียงพอ รวมไปถึงมีไฟเบอร์ที่จะช่วยระบบขับถ่าย ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและสารพิษตกค้างออกมา ส่วนใครที่มักมีปัญหา กินเจแล้วหิวบ่อย ให้หาแอปเปิ้ลเขียว หรือผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยติดตัวไว้นะคะ ได้รองท้องแล้ว ยังได้ประโยชน์อีกมากมายเลยล่ะค่ะ


7. ควรกินพืชตระกูลถั่วด้วย เพราะเป็นแหล่งโปรตีน มีธาตุเหล็กสูง ช่วยสลายคอเลสเตอรอล ปัจจุบันถั่วถูกแปลงโฉมให้อยู่ในรูปของโปรตีนเกษตร ที่มีความคล้ายคลึงกับอาหารจริง ๆ แล้วแถมยังไม่มีไขมันด้วย แต่แนะนำให้เลี่ยงพวกถั่วทอดไว้นะคะ เดี๋ยวจะได้ไขมัน และคอเลสเตอรอลเพิ่มได้โดยไม่รู้ตัว


8. ควรกินให้หลายหลาย หลักการเดิมๆที่ผู้เขียนเองมักเตือนทุกๆ ท่านอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ควรทานอะไรซ้ำๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการสะสมของอันตราย โดยเฉพาะอันตรายทางเคมีที่เรามองไม่เห็น และสะสมในร่างกายจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ โดยเฉพาะอาหารเจที่มีไขมันสูง บรรจุในกล่องโฟม อาหารปิ้ง ย่าง หรือทอด


หลายข้อหน่อย แต่มีประโยชน์มากนะคะสำหรับสุขภาพของเรา และคนที่เรารักในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจนี้ ใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ก็เพื่อสุขภาพที่ดีตามคอนเซ็ปต์ You are what you eat กันค่ะ ท้ายนี้ผู้เขียนขออนุโมทนาในทุกๆ บุญกุศล ของผู้ที่ “ถือศีล กินเจ” กันด้วยนะคะ สาธุ


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์