กระเพาะปัสสาวะอักเสบในผู้หญิงเป็นอย่างไร?



ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ มักจะมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยแบบกะปริดกะปรอย ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น สีขุ่น หรือมีเลือดปนด้วย ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นหลังอั้นปัสสาวะนาน

โดยคนปกติกระเพาะปัสสาวะจะสามารถกักเก็บปัสสาวะได้ 300 - 350 ซี.ซี. จากนั้นผนังกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะจะบีบตัวผ่านทางหลอดปัสสาวะ และขับออกภายนอกในเวลาไม่เกิน 30 วินาที ซึ่งในแต่ละวันจะปัสสาวะ 3 - 5 ครั้ง โดยไม่มีอาการปวดหรือแสบบริเวณหลอดปัสสาวะ

ส่วนผู้ที่มีอาการปวดปัสสาวะเกินวันละ 5 ครั้ง ซึ่งไม่ได้เกิดจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อ ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น กระเพาะปัสสาวะเล็ก ไม่สามารถกักเก็บปัสสาวะได้นาน ทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย บางรายอาจปัสสาวะทุก 1 หรือ 2 ชั่วโมง และต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนดึกมากกว่า 2 ครั้งในแต่ละคืน

 ในผู้ป่วยบางราย มีกระเพาะปัสสาวะขนาดเล็กและไม่สามารถขยายตัวได้ เพราะถูกฉายแสงรักษามะเร็งปากมดลูก บางรายเกิดจากการขยายตัวของผนังกระเพาะปัสสาวะชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้เก็บปัสสาวะได้ไม่มาก หรือมีเนื้องอกขนาดใหญ่ในมดลูก และในหญิงตั้งครรภ์ที่มดลูกไปกดกระเพาะปัสสาวะ และยังเกิดจากการได้รับยาขับปัสสาวะในผู้ป่วยที่ได้เข้ารับการรักษาโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน สาเหตุเหล่านี้ก็ทำให้ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติได้เช่นกัน

นอกจากนี้บางรายที่ปัสสาวะบ่อย อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งภาวะเช่นนี้จำเป็นต้องตรวจด้วยเครื่องตรวจการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ เพื่อจะได้ทราบสาเหตุและรับการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป

รวมความว่า ความผิดปกติของการขับถ่ายปัสสาวะ เกิดได้จากหลายสาเหตุ การดูแลตนเองเบื้องต้น ต้องไม่กลั้นปัสสาวะนานเกิน 6 ชั่วโมง และถ้ากระเพาะปัสสาวะอักเสบจากการติดเชื้อ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อขับเชื้อโรคออกจากร่างกายโดยเร็ว และยังช่วยลดอาการปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะได้ด้วย


ที่มา : หนังสือ ASTV ผู้จัดการ โดย อ.นพ.ภควัฒน์ ระมาตร์

วิธีเตรียมตัวก่อนไปบริจาคโลหิต การบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทย







วิธีเตรียมตัวก่อนไปบริจาคโลหิต การบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทย

คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต
1. มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป
2. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์ (ถ้าเป็นผู้บริจาคครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน 55 ปี)
3. มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างไม่สบายหรือรับประทานยาใดๆ
4. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือติดยาเสพติด
5. สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์หรือ ให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา

การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
1.    นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อเนื่อง ในเวลาปกติคืนก่อนวันบริจาค
2.    รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม
3.    รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้
4.    ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
5.    งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
6.    งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี

ขณะบริจาคโลหิต

1.    สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว
2.    เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะ ไม่มีผื่นคัน หรือรอยเขียวช้ำ ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า
3.    ทำตัวตามสบาย อย่ากลัว หรือวิตกกังวล
4.    ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต
5.    ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที
6.    หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อย ห้ามลุกทันที ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำ และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง

หลังบริจาคโลหิต

1.    ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน
2.    หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต
3.    ถ้ามีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศีรษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูงจนกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้น และเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม
4.    ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อส กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิตเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล
5.    ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก 1 วัน

6.    รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก

ขั้นตอนบริจาคโลหิต
ขั้นตอนที่ 1 กรอกแบบฟอร์มผู้บริจาคโลหิต
*ควรให้ข้อมูลตรงตามความเป็นจริงของผู้บริจาค จะทำให้ได้โลหิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อตัวผู้บริจาคเอง และตัวผู้ป่วย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการรับบริจาคโลหิต
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต และความเข้มโลหิต
*บุคลากรทางการแพทย์ จะสอบถามประวัติผู้บริจาคเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยเบื้องต้นว่าท่าน มีสุขภาพพร้อมที่จะบริจาคโลหิตหรือไม่ โปรดอย่าปิดบังข้อมูลเรื่องสุขภาพ หรือเขินอายที่ จะตอบคำถาม
ขั้นตอนที่ 3 ลงทะเบียนรับหมายเลขถุงบรรจุโลหิต ที่เคาน์เตอร์ทะเบียน
ขั้นตอนที่ 4 บริจาคโลหิต ที่ชั้น 2
ขั้นตอนที่ 5 พักรับประทานอาหารว่าง / เครื่องดื่ม
*หลังบริจาคโลหิตจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มที่เจ้าหน้าที่จัดไว้บริการให้ และนั่งพักสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพน้ำในร่างกาย เมื่อปกติดีแล้วจึงเดินทางกลับ

ที่มา Guru Sanook

ทำอย่างไรเมื่อติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ ช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว



ทำอย่างไรเมื่อติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ ช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว

โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เป็นโรคที่พบบ่อย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว หากปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว นอกจากจะทำให้อาการต่างๆ ดีขึ้นเร็ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้การติดเชื้อนั้นลามออกไปหรือมีผลแทรกซ้อนด้วย

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ

1.    ถ้าท่านมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศจากเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมโดยตรง เนื่องจากอากาศที่เย็นจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานลดลง ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อและยังกระตุ้นเยื่อบุจมูกให้อักเสบมากขึ้น
2.    ถ้าท่านมีอาการเจ็บคอ หรือระคายคอร่วมด้วย ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ด หรือจัด และการสูบบุหรี่ หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ รวมทั้งพยายามทำความสะอาดคอบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร เพื่อป้องกันเศษอาหารไม่ให้ตกค้างในช่องปากและลำคอ ซึ่งอาจทำให้คออักเสบมากขึ้นได้
3.    ถ้าท่านมีอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงอากาศเย็น การรับประทานไอศกรีม ดื่ม หรืออาบน้ำเย็น รวมทั้งควรปิดปาก และจมูกเวลาไอ หรือจามด้วยผ้าเช็ดหน้า
4.    ถ้ามีอาการเสียงแหบแห้ง ควรลดการใช้เสียงชั่วคราว ไม่ควรตะเบ็งเสียง หรือตะโกน
5.    หาสาเหตุการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจและหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามหรือเป็นซ้ำ สาเหตุที่พบบ่อยคือ ร่างกายมีภูมิต้านทานน้อยลง อาจเกิดจากความเครียด นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอหรือสัมผัสอากาศที่เย็นจัด หรือตากฝน ร่างกายไม่ได้รับความอบอุ่นเพียงพอ หรือมีคนรอบข้างที่แพร่เชื้อให้

6.    งดสูบหรือหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ และงดการว่ายน้ำหรือดำน้ำ เพราะอาจได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้อีก
7.    ควรพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจฟันทุก 6 เดือน เนื่องจากการมีสุขภาพฟันที่ไม่ดี อาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคในช่องปาก ทำให้มีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจบ่อย หรือเป็นๆ หายๆ
8.    ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ รวมทั้งผักและผลไม้ หลีกเลี่ยงการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แออัด เช่น มีฝุ่นละออง ควัน สารเคมี มลพิษ และที่อากาศเย็นจัดหรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว และอยู่ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอทุกวัน หรือเล่นกีฬาเป็นประจำ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ ที่สำคัญพยายามอยู่ห่างจากผู้ป่วย

และเมื่ออาการดีขึ้นแล้วหลังการรักษา ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำข้างต้นต่ออีกอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้กลับเป็นซ้ำอีก

ที่มา หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ
โดย รศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา

10 วิธี การมี เส้นผม สี สดใส เป็นประกาย เงางาม



คุณรู้ไหมการมี เส้นผม ที่เป็นประกายและเงางามนั้นไม่ใช่เรื่องยาก หากเราหมั่นดูแล เส้นผม ด้วยวิธีเหล่านี้ ไม่ว่าคุณจะมีผมเสียจากการทำสี หรือจากสาเหตุต่างๆ ลองทำตามทั้ง 10 วิธีนี้แล้วคุณจะมีผมที่กลับมาสวยเป็นประกายดั่งเดิม

1 ปกป้องด้วยน้ำดื่ม
ก่อนการว่ายน้ำทุกครั้ง คุณควรทำเส้นผมของคุณให้เปียกด้วยด้วยน้ำสะอาดเสียก่อน เพราะในสระน้ำมีคลอรีนอยู่มากมาย ซึ่งคลอรีนเป็นตัวการที่ทำให้ผมเสีย การทำให้ผมเปียกก่อนเล่นน้ำจะเป็นการช่วยเจือจางสารเคมีที่อยู่ในน้ำไม่ให้มาจับตัวบนเส้นผมได้ง่ายๆ เมื่อเล่นน้ำเสร็จคุณต้องรีบล้างเส้นผมให้สะอาดทันที แล้วจึงสระผมได้ตามปกติ


2 ระวังแดด
อย่าปล่อยให้เส้นผมโดนแดดโดยตรง เพราะแสงแดดจะทำร้ายสีผมของคุณ เพราะฉะนั้นก่อนออกจากบ้าน คุณควรสวมหมวก หรือผ้าพันศีรษะ เพื่อป้องกันเส้นผมไม่ให้ถูกทำร้าย การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกันแดด เช่น ลีฟออน ก็จะช่วยป้องกันไม่หใส้นผมแห้งหือมีสีที่ซีดจาง


3 ใช้แชมพูพิเศษ
การูสระผมแรงๆ อาจทำให้สีผมหลุดลอก และทำลายความชุ่มชื้นบนเส้นผมได้ ควรสระผมเบาๆด้วยแชมพูที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับผมทำสี ลองใช้ Sunsilk Colour Shine System ซึ่งจะช่วยคืนความชุ่มชื้นและเป็นเงางามให้กับเส้นผมทำสีได้


4 บำรุงผมเป็นพิเศษ
ครีมบำรุงผมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผมทำสี เพราะนอกจากจะช่วยบำรุงเส้นผมที่ถูกทำลายจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผมแล้ว ยังช่วยคืนความชุ่มชื้นให้เส้นผมนุ่มลื่นขึ้น ช่วยขับให้สีผมเปล่งประกายเงางาม และดูมีชีวิตชีวาขึ้น ลองใช้ครีมบำรุงผมของ Sunsilk Colour Shine System

5 อย่าใช้แปรง
ในทำนองเดียวกันก็อย่าใช้แปรงๆผมในขณะที่เส้นผมเปียก เพราะอาจทำให้เส้นผมหักขาดและสีผมหลุดลอกได้ ควรใช้หวีซี่ที่มีฟันซี่ห่างๆ ค่อยๆสางเส้นผมที่พันกันออกอย่างนุ่มนวล(อย่าใช้หวีกระชากเส้นผมที่พันกันเด็ดขาด)

6 อย่าเผาเส้นผม
อย่าใช้ไดร์เป่าผม(และอุปกรณ์ที่ใช้ความร้อนในการแต่งผมอื่นๆ)นานเกินไป เพราะอย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า ความร้อนคือตัวการร้ายที่ทำให้เส้นผมแห้ง และอาจทำให้สีผมซีดจางลง ทางที่ดีก็ใช้ไดร์เป่าผมแบบรวกๆ จนเส้นผมเกือบแห้งสนิท(อย่าให้ถึงกับแห้งสนิท) การทิ้งความชื้นเอาไว้นิดหน่อย จะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นผมเกิดไฟฟ้าสถิตได้

7 เลือกสีให้เหมาะ
ถ้าคุณไม่อยากแต่งเติมสีผมบ่อยๆ เพราะโคนผมโชว์สีผมจริงออกมา ก็เลือกสีผมอย่าให้อ่อนกว่าสีผมจริงเกินสามเฉดสี หรือถ้าจะให้ดีก็เลือกสีผมที่มีสีเข้ากว่าสีผมตามธรรมชาติของคุณแทน และถ้าคุณเป็นสาวที่ชื่นชอบเส้นผมสีแดงเป็นพิเศษ ก็จำไว้ด้วยว่าสีแดงเป็นสีที่จืดจางได้เร็วกว่าสีผมอื่นๆ ฉะนั้นถ้าคุณเลือกสีผมสีนี้ ก็ต้องทำใจไว้ด้วยว่า คุณอาจต้องแต่งเติมสผมบ่อยๆ

8 ไม่โพกศีรษะ
อย่าใช้ผ้าขนหนูโพกศีรษะเวลาที่เส้นผมเปียก เพราะจะเป็นการเพิ่มความเสียดสีให้เส้นผมพันกันมากขึ้น และอาจสร้างความเสียหายให้กับเส้นผมทำสีที่เปราะบางในขณะเปียกได้ แทนที่จะทำอย่างนั้น ก็ใช้ผ้าขนหนูซับเบาๆให้แห้งจะดีกว่า



9 เติมน้ำมัน
ถ้าเส้นผมของคุณแห้งเพราะขาดน้ำมันหล่อเลี้ยงบนหนังศรีษะ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากแสงแดด ความเครียด และกระบวนการทางเคมี(อย่างเช่นการเปลี่ยนสีผมหรือการดัดผม) ก็ลองนวดน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันอัลมอนด์ลงบนหนังศรีษะ ทิ้งไว้ 10 นาทีก่อนสระผม วิธีนี้จะช่วยให้เส้นผมยังดเป็นเงางามหลังสระผม ซึงก็หมายความว่า สีผมของคุณก็ยังสวยสดใสอยู่เหมือนกัน นอกจากนี ้การแปรงผมเป็นประจำก็จะช่วยกระตุ้นหนังศรีษะให้ผลิตน้ำมันออกมาอย่างสม่ำเสมอด้วย


10 เบามือหน่อย
การใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมไม่ว่าจะเป็นมูสครีม ขี้ผึ้ง เจล หรือสเปรย์ในปริมาณที่มากเกินไป ไม่เพียงแต่ทำให้เส้นผมขาดความพริ้วไหวเท่านั้น แต่ยังทำให้สีผมของคุณดูไม่มีชีวิตชีวาด้วย ฉะนั้นใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมเท่าที่จำเป็นจะดีกว่า


Cosmopolitan Magazine Febuary, 2007

8 เครื่องสำอาง เพื่อเติมความสดใส ตลอดวัน





      ถ้าคุณอยากดูสวยสดใสไปตลอดวันทำงาน หรืออยากจะแปลงโฉมจากสาวทำงานไปเป็นสาวสวยในงานปาร์ตี้ยามค่ำคืน วันที่ไม่มีเวลากลับไปเติมสวยที่บ้าน นี่คืออาวุธลับที่คุณควรมีติดลิ้นชักโต๊ะทำงานเอาไว้ เครื่องสำอาง ที่คุณสาวๆจะต้องมีเอาไว้ครอบครอง


   คอนซีลเลอร์ : เพื่อเอาไว้กลบรอยหมองคล้ำบริเวณใต้ตา รวมทั้งสิวและจุดด่างดำอื่นๆ





  ลิปทิ้นท์ : เพื่อใช้เติมสีสันบนโหนกแก้มและริมฝีปากให้ดูเป็นสีชมพูระเรื่อแบบธรรมชาติๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแสงไฟในยามค่ำคืนทำให้คุณดูซีดเซียวลง





   แปรงสีฟัน : รวมทั้งยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากขนาดพกพาด้วย (ไม่บอกก็คงรู้นะว่าใช้ทำอะไร)





   สเปรย์น้ำแร่ : ไว้เติมความชุ่มชื้นและความกระปรี้กระเปร่าให้ผิว โดยไม่รบกวนเครื่องสำอางบนใบหน้า







   ยาหยอดตา : โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีอาการตาแดงจากการจ้องคอมพิวเตอร์บ่อยๆ






   ลิปบาล์ม : นี่เป็นสิ่งที่คุณควรพกติดตัวไว้เป็นประจำ เพื่อเติมความชุ่มชื้นให้กับริมฝีปาก





   ครีมทามือ : ไว้ทาเติมความชุ่มชื้นตลอดทั้งวัน (และควรทำให้เป็นนิสัยด้วย)





   มอยสเจอไรเซอร์ : แบบซองหรือขนาดพกพา ไว้เติมความชุ่มชื้นให้กับผิวในบริเวณที่แห้งกร้านจากเครื่องปรับอากาศ




ที่มาจาก www.lisaguru.com

หมักผมเอง แบบวิธีไหนดี




    สำหรับสาวๆ ที่ต้องการหมักผมเอง แต่ไม่ทราบว่าจะใช้วิธีไหน หรือเริ่มต้นอย่างไร ผมตัวเองเป็นแบบไหน จะใช้ครีมอะไร ทำตอนไหน เกิดคำถามมากมาย ซึ่งเราเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้ผลออกมาดี วันนี้มีเทคนิคการหมักผมจากผู้มีประสบการณ์หลายๆ ท่านมา ให้เป็นแนวทางปฏิบัติกัน ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า วิธีไหนจะเหมาะสมกับตัวของเรา......

เทคนิคจากคุณ : monkodi 
เราใช้พวกทรีตเม้นแบบกระปุกแทนครีมนวดค่ะ ใช้หลังสระผมทุกครั้ง แบบว่าควักมาแล้วมาโปะตรงปลายผม ลูบๆแล้วใช้ที่หนีบผมรวบไว้เปนจุก ครีมที่เหลือในมือค่อยลูบๆส่วนอื่นของผม เพราะจริงๆเราเป็นคนผมมัน แต่ปลายผมแห้งมากเพราะยืดมาเหมือนกัน ระหว่ารอก็อาบน้ำ ล้างหน้าช้าๆหน่อย แล้วค่อยล้างผมออกเป็นอย่างสุดท้าย ทำยังงี้ทุกคืน ตื่นเช้ามา หลังอาบน้ำเสร็จเราจะใช้น้ำมันใส่ผมชนิดที่บำรุงผมได้ด้วย มีทั้งคิวเพรสสีส้ม โอเรียลทอลปริ๊นเซสขวดสีเหลือง ใส่เฉพาะปลายผมค่ะ   พอผมดีขึ้น เราหันไปสระผมอย่างเดียวไม่นวด ไม่ใส่อะไรบำรุง ประมาณ 2 เดือนผมก็กลับมาแห้งอีก เซ็ง ตอนนี้เลยกลับมาทำเหมือนอีก :( ขี้เกียจมากกกกก

เทคนิคจากคุณ : ปรีชญา 
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นค่ะ หมักไว้ก่อนสระ 30 นาที หลังสระผมแล้วเป่าแห้ง ผมนิ่ม เงา มีน้ำหนักขึ้นมากๆค่ะ

เทคนิคจากคุณ : thankgodifoundu
น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอก
หมักไว้ก่อนสระผมซัก 20นาที-1ชั่วโมง
ขยันทำซักอาทิตย์ละครั้งผมก็ดีขึ้นแบบไม่น่าเชื่อแล้ว
สำหรับเรา ดีกว่าพวกทรีตเม้นแพงๆ
หลังๆ ทรีตเม้นต่างๆก็เอาไว้หมักเหมือนครีมนวดผม
ส่วนหมักผมจริงๆก็ใช้น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอกเอา

เทคนิคจากคุณ : ก้านกล้วยสีสด 
นมเปรี้ยว(กลิ่นส้ม)+ไข่แดงหนึ่งฟอง หมักทิ้งไว้สัก สิบห้านาที แล้วค่อยสระออกค่ะ
ผมนุ่มและรื่นดีค่ะ


เทคนิคจากคุณ : หมูน้อยๆ patcha (หมูน้อยๆ patcha)
น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นหมักก่อนสระผมสัก 30 นาที
แล้วหมักผมด้วยทรีตเม้นต์ของว่านไทยค่ะ ผมนุ่มดี
ปล.ผมยืดเหมือนกันค่ะ

ขอบคุณข้อมูล Pantip ภาพจาก Internet

เคล็ดลับการเลือกของขวัญ ด้วยเทคนิค ‘BEST’





  เดล กรับบ์ จากมหาวิทยาลัยโบล์ดวิน วอลเลซ สหรัฐอเมริกา แนะการซื้อของขวัญให้ลูกหลานในช่วงเทศกาลแห่งความสุขให้ถูกใจด้วยเทคนิค "เบสต์" (BEST) ซึ่งมีความหมาย ดังนี้

B บี คือ บิวต์ ฟิสิคัล แอนด์ อินเทอร์แอ็กชวล เสริมสร้างร่างกายและปัญญา ได้แก่ อุปกรณ์กีฬาและเกมแก้ปัญหา

E อี คือ เอ็นเตอร์เทน ให้ความสนุกเพลิดเพลิน อย่างวิดีโอเกมโต้ตอบ หรือเครื่องเล่นเพลง

S เอส หมายถึงสติมูเลต อิเมจิเนชั่น กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เช่นอุปกรณ์ศิลปะ ตุ๊กตา เครื่องดนตรี

T ที คือทีช โซเชี่ยลไลเซชั่น แอนด์ ทีมเวิร์ก สอนการเข้าสังคมและทำงานเป็นทีม ได้แก่ เกมกระดาน

ผู้เชี่ยวชาญยังบอกว่า ของขวัญดีมีคุณภาพไม่ใช่สิ่งที่ต้องทันสมัย เพราะยิ่งไฮเทคเด็กยิ่งไม่ได้ใช้สมองในการเล่น นอกจากจะน่าเบื่อแล้ว ยังไม่เสริมสร้างการเรียนรู้ ผู้ปกครองจึงควรนึกถึงประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ มากกว่าทำตามกระแสนิยมในยุคเห่อคอมพิวเตอร์


ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด