วิธีดูแลทําให้ ผิวขาวใส ตลอดเวลา






1. วิธีขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้ารากศัพท์ของมันมาจากคำว่า "foliage" ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบน สุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่าอยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้วเซลล์ผิวเก่า ก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวาและดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง


2. ดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิวก็ ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบหรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และ หากขัดมากเกินไปก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4. ถ้าไม่กำจัดของเสียออกไปผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือผิวจะหม่นหมองดูแล้วมีความมันหรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดีทำให้ของเสียเกิดการสะสม ตัว

5. ถ้าต้องการขัดผิวหน้าก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัดผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัดเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6. วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้า อาบน้ำหรือใยบวบและผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7. เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำ ผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียนใช้น้ำล้างออกให้สะอาดซับให้แห้งแล้วทาครีม บำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8. ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็นเม็ดกลมเพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอกขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาดแล้วล้างออก ด้วยน้ำมากๆ

9. ใยบวบ หรือใยขัดธรรมชาติเป็น อุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไปอาจทำให้แสบผิวได้เพราะใยเหล่านี้มีลักษณะสากและ หยาบ เวลาขัดจึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำและเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้ แห้ง

10. การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือฟองน้ำถูตัวเวลาอาบน้ำก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิวโดยใช้ร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11. เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการใส่น้ำให้เต็มอ่างเติมเกลือเม็ดลงไปและเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่าง ให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัวและล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12. แปรงแปรงผิวสามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไปหรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13. การปรนนิบัติผิวให้นุ่มนวลขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้นควร เริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14. เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่วแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สครับสำเร็จรูปมักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือมีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ น้ำตาล อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอมอีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16. เราสามารถทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วย การใช้ผักผลไม้ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อยแต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคืองมี น้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17. มะขามเปียก สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคลมี ความเป็นกรดช่วยทำความสะอาดผิวทำให้ผิวขาวใสมีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิ แดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ววิตามินสูงแต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรดเหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวังลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรกแต่ไม่เป็นกรดมาก

                       ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถนำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่าย ขึ้น

                      เพื่อความปลอดภัยควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น เกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคืองและกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคมจึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจาก นั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี


ที่มา 247freemag

ดื่มน้ำตอนท้องว่าง มีดีกว่าที่คิด




                      การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะเพื่อรักษาสุขภาพ ที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมการดื่มน้ำทันที หลังตื่นนอนตอนเช้า (ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำ สามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้ เราสามารถใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ ได้ผล 100% (ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็วโรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไต และยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆโรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวง โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการรักษาปฏิบัติดังนี้

1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
2. หลังจากนั้นสามารถแปรงฟันและล้างหน้าได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ต้องไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานเลย จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
4. ผู้ป่วย หรือ คนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ขอให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว

                 ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อย ๆ เบาและหายขาดได้ในที่สุด วิธีนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษาทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้
1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
2. โรคกระเพาะ 10 วัน
3. โรคเบาหวาน 30 วัน
4. โรคท้องผูก 10 วัน
5. โรคมะเร็ง 180 วัน
6. โรควัณโรค 90 วัน
                     สำหรับโรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน ในสัปดาห์แรกให้ปฏิบัติทุกวัน วิธีรักษาแบบนี้ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ


ที่มา Bloggang

ลดน้ำหนัก ลดความอ้วนก่อนแต่งงาน ยังไง ไม่ให้โทรม




                    คู่รักส่วนใหญ่ต้องตั้งหน้าตั้งตาฟิตหุ่นให้สมส่วนก่อนถึงวันแต่งงาน บางคนถึงกับลดมื้ออาหารจากปกติ 3 มื้อ เหลือเพียงการรับประทานเฉพาะมื้อกลางวันเท่านั้น ซึ่งวิธีดังกล่าวถือว่าไม่เหมาะสมกับการลดหรือควบคุมน้ำหนัก เพราะไม่เป็นผลดีกับร่างกาย  เมื่อถึงวันแต่งงานพลันจะเป็นคู่บ่าว-สาวแสนโทรม ไม่สดชื่นแจ่มใส
การไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นก่อนวันสำคัญ 

                    สามารถลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ที่มีอยู่ในอาหารประเภทข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง น้ำตาล เช่น จากปกติรับประทานข้าวมื้อละ 1 จานเต็ม ๆ อาจลดเหลือเพียงแค่ครึ่งจาน หรืออาจเลือกรับประทานข้าวเพียง 1 มื้อต่อวัน 



ส่วนมื้ออื่น ๆ ที่เหลือให้เน้นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เช่น ปลานึ่ง ทั้งนี้หากรับประทานข้าวแล้วก็ไม่ควรรับประทานก๋วยเตี๋ยวหรือขนมปังในวันเดียวกันอีก

                    การลดคาร์โบไฮเดรต จะช่วยให้ร่างกายที่ปกติจะเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตที่รับประทานเข้าไปใหม่เป็นอันดับแรก ก็จะหันไปเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตและไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายแทน
                    ส่วนอาหารชนิดอื่นๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างควบคุมน้ำหนัก คือ อาหารทอดน้ำมัน เนื้อสัตว์ติดมัน อาหารฟาสต์ฟู้ดต่างๆ รวมทั้งชา กาแฟ ที่ใส่ครีมปริมาณมาก น้ำอัดลม ขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน
                    นอกจากการใส่ใจเรื่องอาหารการกินแล้ว ยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้าจะให้เห็นผลควรจัดสรรเวลาออกกำลังกายก่อนวิวาห์อย่างน้อย 4-5 เดือน เช่น การยกเวต เซ็ตละ 15 ครั้ง เพื่อกระชับต้นแขน หรือซิตอัพลดหน้าท้อง เป็นต้น


ที่มา Hunsa

ประโยชน์ … การออกกำลังกายด้วย ฮูล่า ฮูป





1. การเล่น ฮูล่า ฮูป เป็นการออกกำลังกายในรูปแบบแอโรบิค อย่างหนึ่ง เล่นง่าย เป็นอุปกรณ์ ออกกำลังกายที่มีผลกระทบต่อร่างกายน้อย จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของการออกกำลังกายที่เหมาะสมสำหรับคนทุกเพศทุกวัย

2. ฮูล่า ฮูป จะช่วยทำให้หน้าท้อง สะโพก แผ่นหลัง กล้ามเนื้อบริเวณขา และเข่า กระชับมากขึ้น เนื่องจากไขมันส่วนเกินจะถูกเผาผลาญเพื่อใช้เป็นพลังงานออกไปกว่า 200 – 300 แคลอรี่ ภายใน 20 นาที ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการกำจัดไขมันส่วนเกิน ทำให้น้ำหนักตัวลดลง และกล้ามเนื้อกระชับมากขึ้น

3. ฮูล่า ฮูป อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงให้กับกล้ามเนื้อทั้งลำตัว และความยืดหยุ่นของข้อต่อและกระดูกต่างๆ ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจกับรูปร่างและท่วงท่าการเดินของคุณ อีกทั้งการออกกำลังกายด้วย ฮูล่า ฮูป นี้ จะทำให้คุณร็สึกว่าสุขภาพของคุณดีขึ้น อาการเหนื่อยง่ายหรือปวดเมื่อยจากกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันที่เคยมีจะเกิดขึ้นน้อยลง

4. การเล่น ฮูล่า ฮูป จะช่วยเพิ่มระดับการหมุนเวียนของเลือดไปสู่สมอง ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และพร้อมที่จะทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ทันที

5. เป็นการออกกำลังกายที่ใช้พื้นที่น้อย สามารถพกพาห่วงไปไหนมาไหนได้ทุกที ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลินกับทุกคนในครอบครัวได้ทุกทีทุกเวลา รวมถึงกลุ่มเพื่อนที่มาออกกำลังกายร่วมกันอีกด้วย


ที่มา … Spicy 

เดินเร็ววันละ 1 ชั่วโมง ช่วยลดความอ้วนได้





          ตอนนี้คนไทยส่วนใหญ่กำลังประสบปัญหาอ้วนลงพุง คือ ผู้ชายเกิน 90 เซนติเมตร ผู้หญิงเกิน 80 เซนติเมตร ซึ่งคนที่อ้วนลงพุงจะมีไขมันสะสมในช่องท้องปริมาณมาก ยิ่งรอบพุงมากเท่าไหร่ไขมันยิ่งสะสมในช่องท้องมากเท่านั้น
          ไขมันที่สะสมนี้จะแตกตัวเป็นกรดไขมันอิสระเข้าสู่ตับ มีผลให้อินซูลินออกฤทธิ์ได้ไม่ดี ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนไม่อ้วนหรือคนไม่มีพุงประมาณ 3 เท่าตัว และเมื่อเป็นเบาหวานแล้วจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดที่หัวใจและที่สมองขึ้นอีกประมาณ 3 เท่าตัว ดังนั้นใครที่ยิ่งพุงใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสเสียชีวิตเร็วขึ้น

           ในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรค ทำได้โดยการปรับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวออกแรงและออกกำลังกาย และวางแผนปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหาร โดยกินผักให้มากขึ้น ลดการกินอาหารหวานจัด เค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูง ในการออกกำลังกายเพื่อลดไขมันในช่องท้อง ควรออกกำลังกายชนิดที่ชื่นชอบ สัปดาห์ละ 3 วันๆ ละไม่น้อยกว่า 30 นาที จะช่วยควบคุมน้ำหนักให้คงเดิม

          ส่วนผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก ต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 45 นาที โดยมีการออกกำลังกายแบบเพิ่มแรงต้านด้วย เช่น การยกน้ำหนัก ทำให้ขนาดกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น เกิดการเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น น้ำหนักที่ลดลงไปก็จะลดไขมันที่มีอยู่ด้วย สำหรับกลุ่มอายุ 40-50 ปี ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ วิธีลดน้ำหนักที่ให้ผลดีคือ การเดินเร็วอย่างต่อเนื่องซึ่งสามารถทำได้ง่ายมาก โดยหากเดินเร็วเพียงวันละ 1 ชั่วโมงจะลดโอกาสการเกิดโรคอ้วนได้ร้อยละ 24

ที่มา เดลินิวส์

รับประทานสลัดลดน้ำหนัก ลดความอ้วน




6 เคล็ดลับวีธีรับประทานสลัดลดน้ำหนัก ลดความอ้วน

                    เมื่อพูดถึงการควบคุมอาหารและลดน้ำหนัก เราจะนึกถึงอาหารอะไรไปไม่ได้นอกจาก "สลัด" หลายๆ คนคงมีกฏเหล็กของการกินสลัดเพื่อลดน้ำหนักอยู่หลายข้อ บ้างให้กินผักล้วน งดเนื้อสัตว์ บ้างให้เลี่ยงสลัดครีมน้ำข้น บ้างก็ให้เลี่ยงชีสและท็อปปิ้งโรยหน้าสลัดทั้งหลาย
                  ในบรรดากฏเหล็กเหล่านี้จะใช้ได้ผลจริงทุกข้อไหม และการกินสลัดที่ดีเพื่อการลดน้ำหนักจริงๆ นั้นควรเป็นอย่างไร ลองมาดู 6 เคล็ดลับของการกินสลัดเพื่อลดน้ำหนัก 

1. เลือกน้ำสลัดที่เป็นน้ำมัน
           การเลือกทานสลัดกับน้ำสลัดที่เป็นน้ำมัน อย่างน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันคาโนล่า จะช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารอาหารที่กินเข้าไปอย่างเต็มที่ เพราะวิตามิน A D E และ K นั้นเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน
           นั่นหมายความว่า หากคุณไม่บริโภคอะไรที่เป็นไขมันเข้าไปบ้าง ร่างกายก็จะไม่สามารถดึงเอาวิตามินเหล่านี้ไปใช้ได้เลย แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องผลข้างเคียงของน้ำสลัดแบบน้ำมันพวกนี้นะคะ เพราะน้ำมันเหล่านี้ให้ไขมันดีกับร่างกาย ส่วนใครที่คิดว่ารสชาติมันจืดชืดเกินไปก็สามารถเหยาะน้ำส้มสายชูลงไปนิด ๆ เพื่อเสริมรสชาติได้เช่นกัน

2. ผสมผักใบเขียวหลากชนิด
           ผักหลัก ๆ ในจานสลัดก็คงเป็นจำพวกผักใบเขียว ไม่ว่าจะเป็น กรีนโอ๊ค คอส ผักกาดแก้ว ผักกาดหอม ฯลฯ ซึ่งทุกๆ ชนิดต่างมีรสชาติและรสสัมผัสที่ไม่เหมือนกัน รวมทั้งให้คุณค่าทางอาหารในสัดส่วนที่แตกต่างกันด้วย แต่ทั้งหมดก็ล้วนดีต่อสุขภาพทั้งนั้น
           เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุเหล่านี้อย่างครบถ้วน ให้ผสมผักใบเขียวหลาย ๆ ชนิดลงในเมนูสลัดของคุณ หรือจะแบ่งรับประทานผักใบเขียวหลาย ๆ ชนิดภายในวันเดียวกันก็ได้ จะทำให้ได้วิตามินแร่ธาตุที่ครบถ้วนหลากหลาย นอกจากนี้ ถ้าได้เติมผักสมุนไพรอย่างใบสะระแหน่ หรือพาสลีย์ลงไป นอกจากจะให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เป็นประโยชน์แล้ว ยังช่วยเสริมกลิ่นให้เมนูสลัดคุณน่ากินขึ้นด้วย

3. เติมชีสลงไปบ้าง
           หลายๆ คนเลี่ยงที่จะโรยชีสลงไปบนสลัดของตัวเอง แต่ขอบอกว่าไม่เป็นไรหรอกนะหากคุณเลือกใช้ชีสแบบไขมันต่ำ เมื่อวางใจในปริมาณไขมันได้แล้ว คราวนี้คุณก็จะได้รับนานาประโยชน์จากชีส ไม่ว่าจะเป็นมีน้ำหนักที่สมดุลดี กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน และหิวช้าลง เพราะแคลเซียมที่มีอยู่มากมายในชีส จะช่วยให้ไขมันสะสมถูกดึงออกมาใช้งาน ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ถ้าจะโรยพาร์เมซานชีสลงไปสักนิด ขูดมอสซาเรลล่าชีสนุ่มๆ มันๆ ลงไปอีกหน่อย ก็ไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไป

4. เพิ่มโปรตีนลงไปด้วย
           ในจานสลัดของคุณไม่ควรมีแต่ผัก แม้ผักจะให้พลังงานต่ำ ทำให้คุณดึงเอาไขมันสะสมมาใช้ได้ แต่ก็ทำให้คุณหิวเร็วจนต้องหาอะไรมาใส่ปากเพิ่มอยู่ดี หรือไม่ก็ทำให้รู้สึกโหยจนอ่อนล้า เพราะฉะนั้น เติมโปรตีนลงไปในจานสลัดของคุณบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่อบ ปลาแซลมอนย่าง ถั่วแระญี่ปุ่น เต้าหู้ ถั่วต่างๆ หรือว่าเมล็ดธัญพืช ก็ไม่ได้ทำให้จำนวนแคลลอรี่เพิ่มขึ้นมากมายนัก ตราบเท่าที่คุณยังควบคุมปริมาณให้พอเหมาะ โดยเป็นเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อยๆ หรือว่าถั่วต่างๆ คราวละไม่เกิน 1/4 ถ้วย

5. รับประทานผัก ผลไม้ หลายๆ ชนิดร่วมกัน
           นอกจากจะมีผักใบเขียวที่น่าจะกินทีละหลายชนิดร่วมกันแล้ว ผักและผลไม้ต่าง ๆ ก็น่าจะกินร่วมกันให้ได้ด้วย มีผลการวิจัยพบว่า สารอาหารและแร่ธาตุบางอย่างในผักผลไม้ จะทำงานได้ดีขึ้นเมื่อได้พบกับสารอาหารหรือแร่ธาตุที่ได้จากผักผลไม้ชนิดอื่นๆ
           เพราะฉะนั้นลองหยิบเอาผักผลไม้หลายๆ ชนิดมาผสมกันในจานสลัดของคุณเพื่อให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น แครอท แตงกวา พริกหยวกหลากสี บร็อคโคลี่ สตรอเบอร์รี่ แอปเปิ้ล ฯลฯ นอกจากได้ประโยชน์หลากหลายแล้ว รสชาติและเนื้อสัมผัสยามเคี้ยวอยู่ในปากก็สนุกขึ้น

6. งดโรยหน้าด้วยขนมปังกรอบ
           เนื้อของขนมปังกรอบหั่นเต๋า หรือที่เรียกว่า ครูตอง (croutons) คงถูกลิ้นใครหลายๆ คน แต่รู้ไหมว่า ขนมปังขัดขาวที่นำมาทำเป็นครูตองนี้ เพิ่มระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คุณได้ดี ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักเอาเสียเลย หากคุณต้องการความกรุบกรอบในจานสลัด ลองเพิ่มด้วยการใส่ถั่วและธัญพืชต่างๆ ลงไปแทนดีกว่า
           การกินสลัดเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง ผักทั้งหลายล้วนมีไฟเบอร์ช่วยในการขับถ่าย วิตามินและแร่ธาตุยังช่วยเสริมการทำงานของร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และถ้ายิ่งเป็นการกินสลัดเพื่อควบคุมน้ำหนัก คุณอาจมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงเพิ่มเติมเล็กน้อย เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายได้อย่างที่หวัง

ขอบคุณ kapook.com ภาพจาก Internet