เคล็ดลับหลีกเลี่ยงอาการหวัดง่ายๆ ที่เรายังไม่รู้






ระยะนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เข้าหน้าหนาว  กลางวัน ยังร้อน เผลอๆ ก็ฝนตกมาให้สับสนเล่นว่า ฤดูอะไร อากาศอย่างนี้ทำให้คนเป็นหวัดกันเยอะ ซึ่งเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่น่ารำคาญ โดยการป้องกันหวัดที่เรารู้กันดีนั้นทำได้หลากหลายวิธี อาทิ ดื่มน้ำเยอะๆ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เข้าใกล้คนที่มีอาการหวัด แต่การป้องกันแบบง่ายๆ และคาดไม่ถึง แถมไม่เหนื่อยยังมีอีกหลายประการดังที่เรานำมาฝากกันวันนี้

1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าบ่อยๆ

เพียงการล้างมือบ่อยๆ ตามคำแนะนำที่ได้ยินได้ฟังกันมาก็อาจยังไม่เพียงพอเมื่อเรายังเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อ แล้วนำมาแตะตามหน้าตา จมูก ปากของตัวเอง หลังการล้างมือ มีผลวิจัยชี้ชัดว่าคนที่ชอบเอามือมาแตะหน้าตัวเองบ่อยๆ มีความเสี่ยงจะได้รับเชื้อมากกว่า ดอกเตอร์อลองโซ และทีมวิจัยได้ทดลองสำรวจคนที่สถานีรถไฟใต้ดินวอชิงตัน ดี.ซี.และฟลอเรียนาโปลิศ บราซิล พบว่า คนเราจะสัมผัสสิ่งต่างๆ ในที่สาธารณะ เฉลี่ย 3.3 ครั้ง และสัมผัสหน้าตัวเอง เฉลี่ย 3.6 ครั้ง จึงมีโอกาสมากทีเดียวที่เราจะรับเชื้อไวรัสด้วยความเคยชินนี้

2.ตัดเล็บให้สั้น

สำหรับคุณสาวๆ เล็บยาวอาจเป็นหนึ่งในแฟชั่นที่ขาดเสียมิได้ แต่ซอกเล็บเป็นที่บ่มเพาะเชื้อโรคได้อย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว การศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ชี้ว่า สาวๆที่ไว้เล็บยาว (3 ซม.ขึ้นไป) มีอาการเจ็บป่วยด้วยเชื้อโรคได้มากกว่าสาวๆ เล็บสั้น 18 เปอร์เซนต์ เพราะเรามักใช้มือแตะหน้าตา และนำพาเชื้อโรคเข้าจมูกปากได้ง่าย

3.อย่าใช้ผ้าเช็ดมือร่วมกับผู้อื่น

บางคนอาจคิดว่าเป็นการประหยัด แต่กรณีนี้หากจำเป็นต้องใช้ผ้าเช็ดมือร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงมาใช้ทิชชู่ยังดีเสียกว่า หรือจะให้ดีพกผ้าเช็ดหน้าไว้เช็ดมือก็ดีไม่น้อย


4.นวดผ่อนคลาย

การทำให้ร่างกาย จิตใจผ่อนคลาย ช่วยให้ร่างกายเราแข็งแรงไปด้วย ฉะนั้นการนวดผ่อนคลาย ยิ่งใช้น้ำมันนวดที่ช่วยให้จิตใจสบายจะยิ่งช่วยให้ใจเบา แล้วจิตใจที่ไม่เคร่งเครียดนี่เองที่จะช่วยป้องกันไม่ให้ให้ร่างกายเจ็บป่วยได้

5.นอนพักผ่อนอย่างน้อย 7 ชั่วโมงต่อคืน

เพิ่มเหตุผลที่เราควรนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ว่า ป้องกันอาการหวัด ลงไปในลิสต์ได้เลย เพราะระบบป้องกันและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย จะทำงานได้ดีเมื่อเราพักผ่อนอย่างเพียงพอ และหากบังเอิญเป็นหวัดแล้ว การนอนให้มากก็เป็นยาชั้นเลิศ เช่นเดียวกัน
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

กระบวนการเผาผลาญในร่างกายเสื่อม ก็ลดอ้วนได้




                  ด้วยเพราะบอกว่า การที่มีเซลล์ไขมันในร่างกายอยู่ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณอ้วนขึ้นได้ นายแพทย์ Kirsi Pietilainen ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ แห่งมหาวิทยาลัย Helsinkiประเทศฟินแลนด์ ได้ทำการศึกษาจากคนสองกลุ่ม กระทั่งพบว่า ในผู้ที่มีรูปร่างอ้วน (ซึ่งอาจเกิดจากเซลล์ไขมัน หรือปัจจัยอื่นๆ) กระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกายของพวกเขาจะเป็นไปได้ยากกว่าผู้ที่มีลักษณะผอม จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอ้วน ก็ยิ่งอ้วนเข้าไปใหญ่ เพราะระบบเผาผลาญไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
                  แต่อย่าเพิ่งเศร้าไปค่ะ เพราะสิ่งที่จะช่วยได้ก็ยังมี นั่นคือ การขยันออกกำลังกาย ขยับแข้งขาอย่างต่อเนื่อง เพราะมันจะทำให้ระบบเผาผลาญร่างกายกลับมาดีได้ เป็นหนทางสำคัญที่ช่วยให้คุณผอมเพรียวดั่งใจ

ขอบคุณที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

... อ้วน เป็นเพราะ “พันธุกรรม” จริงหรือ...




                        “เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยกับหนูทดลองจนค้นพบว่า หนูตัวที่อ้วนจะมียีน (Gene) ความอ้วนมากกว่าหนูตัวที่ไม่อ้วน     ปีถัดมาเริ่มมีการวิจัยเรื่องนี้กับมนุษย์พบว่า ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานมียีนที่ทำให้อ้วนนี้ (ปัจจุบันเรียกว่า ยีน FTO) แสดงออกมาอย่างเด่นชัด ซึ่งยีนนี้ นอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนทั่วไปถึง 40%และเสี่ยงจะเกิดภาวะอ้วนมากกว่าคนทั่วไป 60%” นายแพทย์ Claude Bouchard กรรมการบริหารของสถาบันการวิจัยทางชีวภาพ Pennington แห่งมหาวิทยาลัย Louisianaระบุ

                  แต่แม้จะค้นพบแน่ชัดว่า ความอ้วนมีส่วนสัมพันธ์กับยีน FTO แต่ผลการวิจัยถัดมาก็พบว่า หากคุณขยันออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยีน FTO นั้นจะไม่แสดงออก นอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่างๆ อันมีผลจากยีน FTO ได้อีกด้วย ดังนั้นหากคุณหมั่นขยับร่างกาย ก็จะสามารถลดความอ้วนได้ แม้ความอ้วนนั้นจะเกิดจากพันธุกรรมก็ตาม


                 “ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน ไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิต การออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงนั้นลงได้คุณหมอ Bouchard ระบุ


ขอบคุณที่มา: หนังสือพิมพ์ASTV ผู้จัดการ

5 ท่วงท่าออกกำลังกายยามเช้า เพื่อหุ่นสวย




เพื่อผู้หญิงรักสุขภาพ
           เช้าก่อนที่จะออกไปทำงานเรามาบริหารกล้ามเนื้อกันสักนิด เพื่อให้ร่างกายได้กระชุ่มกระชวยด้วยกันดีกว่าโดย


              1. เรียกเหงื่อเพื่อหุ่นสวย
              ออกกำลังเบาๆเพื่อปลุกระบบการไหลเวียนของโลหิตให้กระฉับกระเฉงขึ้นด้วยการ กระโดดเชือกเล่นสัก 1 นาที แค่พอให้กล้ามเนื้อของคุณรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ไม่ต้องถึงกับกระโดดซะเพลินจนกล้ามเนื้อปวดเมื่อย ออกกำลังหักโหมเกินไปถือว่าผิดวัตถุประสงค์นะขอบอก

              2. แขนกระชับรับสัดส่วน
              ใต้ ท้องแขนของคุณมักจะห้อยย้อยไปมาใช่มั้ย งั้นลองบริหารแขนด้วยท่านี้ โดยยืนตัวตรงแยกขาจากกันเล็กน้อย มือแต่ละข้างถือดัมบ์เบลขนาดเล็กหนักประมาณ 300 กรัม เอาไว้กางแขนทั้งสองข้างให้เหยียดตรง ค้างไว้ประมาณ 1 นาที จากนั้นค่อยปล่อยแขนลง
เคล็ดลับ : หากในระหว่างที่กางแขน ก้มหน้าลงเล็กน้อยจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น

               3. สวยไม่สร่างแม้ข้างหลัง
              แผ่น หลังของคุณหนักอึ้งติดกับที่นอนทุกเช้าใช่หรือเปล่า อย่ากระนั้นเลย ลองลุกขึ้นมาบริหารแผ่นหลังด้วยท่าแมวเหมียวคลานสี่เท้า จากนั้นงอเข่าขวาให้ลอยขึ้นจากพื้น พร้อมกับงอข้อศอกซ้าย ให้แขนและฝ่ามือลอยขึ้นขนานกับพื้นค้างไว้ในท่านี้ประมาณ 15 วินาที แล้วสลับไปทำเช่นเดียวกันนี้กับแขนและขาอีกข้างหนึ่ง ทำซ้ำข้างละ 4 ครั้ง

              4. หน้าท้องแบนราบอย่างนางแบบ
              ปู เบาะหรือพรมนุ่มๆรองไว้ นอนเหยียดยาวตัวตรง เท้าชิด แขนชิดแนบกับลำตัว จากนั้นงอเข้าขึ้น ให้เฉพาะส้นเท้าเท่านั้นที่แตะพื้น แล้วค่อยๆยกศรีษะและลำตัวส่วนบนขึ้นเข้าหาเข่า จนอยู่ในระดับที่ฝ่ามือแตะข้างเข่า และแขนขนานกับพื้น ค้างไว้สักครู่โดยนับ 1 - 10 ในใจ และกลับสู่ท่านอนเหยียดตัวตรง ทำซ้ำเช่นนี้ 10 รอบ แต่หลังจากที่บริหารท่านี้ได้ 2 - 3 วันแล้ว ให้คุณพยายามฝึกท่านี้ให้นานขึ้น จากแค่การนับ 1 - 10 ในใจ ให้เป็น 1 - 60 หรือนานประมาณ 1 นาที รับรองหน้าท้องยุบ

              5. ปั้นบั้นท้ายให้กลมกลึง
              ก้น กระชับและดูดี หากหมั่นบริหารเป็นประจำด้วยท่านอนเหยียดตัวตรง แขนวางราบกับพื้นแนบลำตัว งอเข่าตั้ง วางฝ่าเท้าราบแบบเต็มๆฝ่าเท้า จากนั้นยกขาข้างหนึ่งขึ้นให้ข้อเท้าพาดอยู่บนเข่าของขาอีกข้างหนึ่ง พร้อมกับยกก้นและแผ่นหลังขึ้นจากพื้น ค้างอยู่ในท่านี้ประมาณ 30 วินาที หรือนับ 1 - 30 แล้วจึงค่อยสลับเปลี่ยนไปทำเช่นเดียวกับขาอีกข้างหนึ่ง


ขอบคุณที่มา: เว็บไซต์เฮลคอนเนอร์

5 โรคอันตรายที่เกิดจากการนอนไม่พอ



หลายท่านอาจจะกำลังเผชิญกับปัญหาการนอนไม่พอที่ทำให้รู้สึกไม่กระปรี้กระเปร่าในตอนเช้า มีงานวิจัยมากมายหลายชิ้นบ่งบอกว่าการนอนไม่พอนำพาซึ่งโรคที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากมายหลายอย่างดังนี้
โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจ
จากการศึกษาในปี 2010 เรื่องการนอนหลับจากนิตยสารทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย ซึ่งทำการวิจัยข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนจำนวน 30,397 คน พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ และในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 60 ปีที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจถึง 2 เท่า

เบาหวาน
จากการวิจัยที่ค้นพบโดยนิตยสารเบาหวานในปี 2011 ของมหาวิทยาลัยชิคาโกและ มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น พบว่า คนที่เป็นเบาหวานและมีการนอนหลับที่ไม่เพียงพอจะส่งผลให้ระดับกลูโคสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีการเพิ่มของระดับอินซูลินสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย ดังนั้น คนที่เป็นโรคเบาหวานที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับจึงเป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะระดับการเพิ่มของกลูโคสจะเพิ่มขึ้นถึง 23% และระดับอินซูลินในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้น 48% แต่ในทางตรงกันข้ามการนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้

มะเร็งเต้านม
การวิจัยของมหาวิทยาลัย Tohoku ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเก็บข้อมูลจาก 24,000 คน พบว่าผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 40-79 ปี ที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีภาวะเสี่ยงถึง 62% ที่จะเป็นมะเร็งเต้านม ในขณะที่คนที่นอนมากกว่า 9 ชั่วโมง มีความเสี่ยงน้อยกว่าถึง 28%

ปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะ
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2011 งานวิจัยของรัฐนิวอิงแลนด์ ที่ทำงานวิจัยกับชายหญิงวัยกลางคนจำนวน 4,145 คน พบว่า คนที่นอนหลับน้อยกว่า 5 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลาติดต่อกัน 5 ปี จะเพิ่มความเสี่ยงถึง 80-90% ที่ต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะบ่อยๆในเวลากลางคืน ผลวิจัยชี้ชัดว่าการนอนน้อยมีผลต่อการขับถ่ายปัสสาวะ
มะเร็งลำไส้
จากการศึกษา คนจำนวน 1,240 คน ที่ได้รับการตีพิมพ์ในปี 2011 พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน 47% มักมีอาการที่จะก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้มากกว่าคนที่นอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง ดูเหมือนว่าการนอนไม่พอจะส่งผลร้ายมากมายต่อสุขภาพ ดังนั้นพยายามนอนให้เพียงพออย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อร่างกายจะฟื้นฟูสภาพ สดชื่น กระปรี้กระเปร่า และสามารถรับงานในวันใหม่ที่จะมาถึงได้ จำไว้ว่าปัญหาของวันใดก็เพียงพอสำหรับวันนั้น
 “เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว” (มัทธิว 6:34)


ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ

เสริมแคลเซียมตามวัย




             รู้ๆ กันอยู่ว่า แคลเซียม มีประโยชน์แก่ร่างกาย เพราะช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่พุกร่อนง่าย ซึ่งเมื่อไม่นานนี้ก็มีงานวิจัยที่เผยว่าแคลเซียมสามารถช่วยต่อต้านโรคความดันโลหิตสูง อาการหัวใจกำเริบ อาการปวดก่อนมีประจำเดือน และมะเร็งลำไส้ ดังนั้น การเสริมสารอาหารตัวนี้ให้แก่ร่างกายจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม แต่อีแมกกาซีนก็อยากให้คุณคำนึงถึงด้วยว่า ในแต่ละวัยก็ควรได้รับปริมาณของแคลเซียมที่แตกต่างกันไป

วัยเด็ก
ลูกหลานของคุณมีความต้องการแคลเซียมมากกว่าวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ โดยเด็กอายุ 1-10 ปี ควรได้รับแคลเซียมราว 800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อนำมาเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน ขณะที่ส่วนอื่นๆ จะถูกนำไปใช้เพื่อเป็นโครงสร้างของร่างกาย โดยการสะสมแคลเซียมในเด็กที่หัดพูดจะค่อนข้างช้าแต่ก็สามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในวัยหนุ่มสาว ซึ่งการศึกษาพบว่า ถ้าปริมาณแคลเซียมในร่างกายเด็กมีต่ำจะทำให้ขบวนการสะสมเกลือแร่ในกระดูกและความหนาแน่นของกระดูกต่ำ เป็นผลให้เกิดโรคกระดูกอ่อนหรือโรคกระดูกค่อมงอได้
                      สำหรับสิ่งที่สำคัญของช่วงอายุนี้คือ การพัฒนารูปแบบการบริโภคให้สอดคล้องกับระดับแคลเซียมที่ร่างกายต้องการให้เพียงพอ เพื่อพัฒนาความหนาแน่นของกระดูกให้การเติบโตของเด็กเป็นปกติ อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกในช่วงต่อไปของชีวิตได้

 วัยหนุ่มสาว
จากการศึกษาวิจัยแสดงว่า ช่วยอายุ 11-24 ปี เป็นช่วงที่ร่างกายดำเนินขบวนการก่อรูปกระดูก โดยถ้าร่างกายได้รับแคลเซียม ในปริมาณที่ต่ำกว่าความต้องการของร่างกายอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง ซึ่งถ้าขาดอย่างร้ายแรงจะก่อให้เกิดโรคกระดูกอ่อน มีอาการเจ็บกระดูก เจ็บกล้ามเนื้อ และเมื่อประสบกับการกระดูกหัก กระดูกจะสมานให้เหมือนเดิมได้ช้า จึงควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน สิ่งสำคัญคือ การรักษาระดับการบริโภคอาหารให้สอดคล้องกับระดับแคลเซียมที่ต้องการ เพื่อป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก ถ้าจะต้องมีการสูญเสียไปในภายหลังของช่วงชีวิต โดยถ้าเราได้รับแคลเซียมตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาวหรือกลางคนอย่างสม่ำเสมอและพอเพียง อายุการสึกหรือผุกร่อนตามธรรมชาติก็จะยืดออกไปได้อีกนานกว่าคนที่รับแคลเซียมไม่เพียงพอ

หญิงตั้งครรภ์
สำหรับหญิงมีครรภ์แล้ว แคลเซียม นับได้ว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อสภาวะการตั้งครรภ์อย่างมาก ควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน จำเป็นต้องได้รับมากกว่าคนธรรมดาเป็นพิเศษ เนื่องจากจะต้องถ่ายทอดแร่ธาตุดังกล่าวสู่ลูกเพื่อการพัฒนาโครงสร้างร่างกายของทารกในครรภ์ ดังนั้นหญิงมีครรภ์จึงมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะขาดแคลน แคลเซียม นอกจากจะช่วยให้พัฒนาการเติบโตของทารกในครรภ์เป็นปกติแล้ว ยังมีส่วนช่วยรักษาเสถียรสภาพความหนาแน่นกระดูกในแม่ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกระดูกหรือโรค กระดูกพรุน ในภายหลังได้
วัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ
คนเราปกติจะมีโอกาสสูญเสีย แคลเซียม จากกระดูกเมื่อเรามีอายุมากขึ้น เพราะว่าเมื่ออายุเกินกว่า 30 ปีแล้ว ร่างกายจะไม่สะสม แคลเซียม อีกต่อไป โอกาสเผชิญกับโรคเกี่ยวกับกระดูกจะสูงถ้าร่างกายไม่ได้รับ แคลเซียมอย่างเพียงพอ ซึ่งควรได้รับ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงวัยหมดประจำเดือนซึ่งการศึกษาพบว่าร่างกายจะสูญเสียกระดูกในช่วงประมาณ 5-6 ปีแรกหลังจากหมดประจำเดือน เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมน oestrogens และประสิทธิภาพในการสร้าง Vitamin D ก็ลดลงตามวัยที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีแนวโน้มจะเป็นโรค กระดูกพรุนสูง ดังนั้นคนในวัยสูงอายุที่มีการเสริม แคลเซียม ให้กับกระดูกอย่างเพียงพอ จะช่วยยับยั้งการสูญเสียกระดูกในช่วงนี้ได้ การเผชิญกับการผุกร่อนของกระดูกจะน้อยลง ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับโรคที่เกี่ยวกับกระดูกเมื่อย่างเข้าสู่วัยทองก็น้อยลงหรืออาจไม่เกิดขึ้น

ที่มา : สยามดารา

เคล็ดลับในการออกกำลังกายสมอง




 เป็นที่ทราบกันดีว่าเรื่องของ ใจ’ นั้นเป็นเรื่องของนามธรรม แต่ สมอง’ นั้นเป็นรูปธรรมของสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา แต่พวกเรากลับมักลืมดูแลสิ่งที่สำคัญที่สุดสองอย่างนี้ มัวแต่ใส่ใจกับสรีระ ฐานะการงานและการเงิน ฯลฯ เสียมากกว่า
            
               วันนี้กลับมาดูแลตัวเองกับเรื่องของสมองที่เป็นเทรนด์พัฒนาตนเองจากฝั่งญี่ปุ่นกันบ้างดีกว่าค่ะ เพราะบอสใหญ่ผู้สั่งการร่างกายทุกส่วนอย่างสมองนั้นก็ต้องการการออกกำลังกายเพื่อประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้นไม่เแพ้อวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย และการออกกำลังกายสมองที่ว่านั้นความจริงก็คือการกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวนั่นเอง

 เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ - การนำตัวเองเข้าไปเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่ อย่างการเรียนดนตรี เรียนภาษา หรือทำกิจกรรมใหม่ๆ จะช่วยกระตุ้นให้สมองเกิดการเรียนรู้ ช่วยให้สดชื่น ไม่แก่เร็ว บางคนบอกว่าควรให้ผู้สูงอายุเรียนภาษาเพื่อไม่ให้ท่านมีอาการหลงลืม ส่วนบางท่านก็เลือกการท่องเที่ยว เพราะการไปยังที่ ๆ ไม่เคยไปก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกง่าย ๆ ที่ช่วยให้สมองกระปรี้กระเปร่า ที่เขาเรียกว่าไปพักสมอง ความจริงแล้วเป็นการชาร์จพลังให้สมองต่างหาก
ออกกำลังกายสมอง - นูโรบิคส์’ คือการออกกำลังกายสมองที่เน้นการประสานการรับรู้ทั้งห้าของร่างกาย คือตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส และอารมณ์เข้าด้วยกันเพื่อช่วยกระตุ้นให้สมองตื่นตัวและมีการพัฒนา สิ่งที่นักวิชาการแนะนำคือการทดลองทำสิ่งใหม่ๆ เพิ่มเข้าไปในการดำรงชีวิตประจำวัน เช่น ปิดตาใส่เสื้อผ้า รับประทานอาหารโดยไม่คุย หรือทำสิ่งที่แปลกไปจากปกติ เช่น ไปทำงานด้วยเส้นทางใหม่ รับประทานอาหารหรือจับเม้าส์คอมพิวเตอร์ด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด ช้อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าใหม่ที่ไม่เคยไป เป็นต้น เพราะการทำอะไรตามความเคยชินนั้นจะทำให้สมองของเราเฉื่อยชาลงเรื่อยๆ

การอ่าน งานอดิเรก และเกมช่วยได้ - มีงานวิจัยรายงานว่าการอ่านหนังสือไม่ว่าแนวไหน (โดยเฉพาะแนวแฟนตาซี และแนวสืบสวน) การทำงานอดิเรก และการเล่นเกมประเภทครอสเวิร์ดส ต่อคำ จะช่วยให้ไม่หลงลืมเมื่ออายุมากได้ เนื่องจากสมองได้ทำงาน ใช้ความคิด
นอกจากนี้ยังมีการแนะนำให้ออกกำลังกายนิ้วอยู่เสมอ อาทิ การเล่นเปียโน ดีดกีตาร์ หรือบริหารนิ้วโดยพับข้อนิ้วชี้และนางพร้อมกัน สลับกับพับข้อนิ้วกลางและก้อย เนื่องจากมือของคนเราเต็มไปด้วยเส้นประสาทและเส้นเลือดที่สัมพันธ์ไปกับการทำงานของสมอง

Exercise สมองยามเช้า – เท้าก็เป็นแหล่งรวมประสาทและเส้นเลือดของร่างกายอีกจุดหนึ่ง จึงเป็นอวัยวะที่ควรให้ความใส่ใจไม่น้อย จึงมีคำแนะนำให้บริหารเท้าเพื่อเป็นการกระตุ้นสมองมาฝากกัน โดยหลังจากตื่นนอนแล้ว ก่อนลุกจากที่นอนค่อย ๆ บริหารนิ้วเท้า ขยับนิ้วหัวแม่เท้าขึ้นและลง และขยับเท้าเพื่อยืดเส้นยืดสาย ก่อนลุกไปทำกิจวัตรต่าง ๆ คุณจะรู้สึกได้ว่าเช้าวันนั้นสดชื่น กระปรี้กระเปร่า พร้อมที่จะทำงานมากขึ้น

ฟังเพลงคลาสสิค  มีผลวิจัยชี้ชัดว่าการฟังเพลงคลาสสิค โดยเฉพาะเพลงของโมสาร์ทนั้นจะช่วยให้การทำงานของสมองดีขึ้น ช่วยพัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบ และความมีเหตุผล ช่วยให้เด็กเก่งเลขขึ้น ในเยอรมันก็มีการเปิดคลินิกรักษาเด็กออทิสติกด้วยเพลงโมสาร์ทอีกด้วย

ที่มา : หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการ